Share on
×

Share

“นักวิจัย” ตัวแปรสำคัญในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไทย

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนับเป็นเรื่องที่รุนแรงต้องเร่งแก้ไข แต่การจะดำเนินการแก้ไขได้กลุ่มคนที่สำคัญกับการดำเนินการทั้งหมด หนีไม่พ้นเหล่านักวิจัยทางธรรมชาติในการศึกษาสาเหตุ แนวทางการป้องกัน ตลอดจนติมตามผลลัพธ์การดำเนินงานเพื่อนำมาต่อยอดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม ประเด็นหลักใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง น้ำ ป่า ดิน มลพิษทางอากาศ และขยะพลาสติก ที่กลายเป็นหัวข้อสำคัญได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก ประเทศไทยเองจึงต้องเร่งเพิ่มการลงทุนด้านงานวิจัยที่มุ่งเป้าไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ด้วยงบประมาณที่จัดสรรให้กับงานวิจัยที่สามารถตอบโจทย์และมีผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศได้

ด้วยเหตุนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) จึงจัดสัมมนาเครือข่ายนักวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นแนวทางชี้นำกลุ่มนักวิจัยที่ต้องการงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงการของตน และแสดงความคืบหน้าเรื่องงบประมาณที่ได้เพิ่มมาจากรัฐบาล เพื่อสนับสนุนทุกโครงการที่สามารถพัฒนาจนใช้ประโยชน์ได้จริง งานนี้ได้กลุ่มนักวิจัยตัวอย่างได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร จันทระ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิจัยเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ และ PM2.5, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โพยม สราภิรมย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิจัยเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ (น้ำบาดาล), รองศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ เหลืองประเสริฐ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยเกี่ยวกับลดขยะให้เป็นศูนย์ Zero Waste และรศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาตร์ มหาลัยรามคำแหง วิจัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน มาเล่าตัวอย่างการดำเนินงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การไหลเวียนของงบประมาณจากนโยบายสู่การปฏิบัติการจริง

การบริหารจัดการงบประมาณและนโยบายของประเทศครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของไทย โดยมีการเชื่อมโยงกันระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาพรวมมีสำนักงานนโยบายฯ (สอวช.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบกำหนดนโยบายและทิศทางหลักผ่านกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมที่มีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นผู้ดำเนินงานอีกที ส่วนหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU – Program Management Unit) จะรับผิดชอบเพื่อกระจายทุนไปยังโครงการต่างๆ เช่น TRF (มูลนิธิวิจัยแห่งชาติ), NIA (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ), TCELS (ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์), บพค., บพข., สวก., และหน่วยงานอื่น ๆ ก่อนมอบทุนงานวิจัยให้กับสถาบันอุดมศึกษาซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานหลักในการปฏิบัติงานจริง โดยทั้งหมดนี้จะส่งผลกรทบแก้ภาคประชาชนและและประเทศในที่สุด

หากเน้นไปที่งานด้านการวิจัยจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่

  • ส่วนที่ 1 คือด้านการวิจัยและนวัตกรรม (Research and Innovation Fund: RI) งบประมาณจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กองทุนย่อย คือ กองทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund: FF) ใช้สนับสนุนงานวิจัยพื้นฐาน เช่น งานวิจัยเชิงทฤษฎี หรือองค์ความรู้ใหม่ และกองทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund: SF) ใช้สนับสนุนงานวิจัยที่มีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เช่น งานวิจัยที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศหรืออุตสาหกรรมสำคัญโดยหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU)
  • ส่วนที่ 2 คืองบประมาณด้านการนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ (Research Utilization Fund: RU) ซึ่งจะสนับสนุนการนำผลงานวิจัยไปใช้จริงในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือสังคมบริหารจัดการโดยหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) เช่นเดียวกัน
  • ส่วนที่ 3 คืองบประมาณด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Development Fund: ST) ใช้สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ ห้องปฏิบัติการ หรือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ จัดสรรให้แก่ หน่วยงานในระบบ อว. เป็นผู้ดูแล

ขอบเขตงานวิจัย ที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีให้แก่ประเทศ

ตามนโยบายแล้วเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จะบรรลุผลภายใน 2 ปี (ภายในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2569) โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก รวม 9 เป้าหมาย ได้แก่ ด้านสุขภาพและการแพทย์ เป้าหมายคือประเทศไทยต้องมีเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา ที่สำคัญซึ่งผลิต จัดจำหน่ายได้เองเพื่อทดแทนการนำเข้าได้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ และไม่มีมะเร็งท่อน้ำดี ต่อมาคือด้านเศรษฐกิจ เป้าหมายคือผลักดันสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยให้ส่งออกไปสหภาพยุโรปภายใต้ระเบียบ EUDR (สกว.) ได้ หวังแก้ปัญหาเรื่องครัวเรือนเปราะบางและครัวเรือนเกษตรกรรมรายได้น้อย รวมถึงการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ภาคเอกชนไปจนถึงการสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูงขั้นต่ำใน 3 อุตสาหกรรมหลัก Semiconductor, EV (Electric Vehicle) และ AI สุดท้ายคือด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป้าหมายคือประเทศไทยต้องปลอดภัยจาก PM2.5 ไม่ขาดแคลนน้ำมันปาล์ม และเด็กไทยต้องมีความสามารถคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น

ตัวอย่างงานวิจัยด้านมลพิษทางอากาศ และ PM2.5

ประเด็นเรื่อง PM2.5 เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ 8 เป้าหมายเพื่อพัฒนาประเทศไทยของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยนักวิจัยเน้นการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและกรุงเทพฯ สอดคล้องกับแนวทางการแก้ปัญหาของ วช. ในดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลดจุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดจากการเผาในที่โล่ง การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับติดตามและคาดการณ์คุณภาพอากาศสนับสนุนมาตรการเชิงนโยบาย เพื่อช่วยให้ภาครัฐและท้องถิ่นมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมลพิษทางอากาศ

รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร จันทระ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ดำเนินงานวิจัยเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตฝุ่นควันจาก การเผาในที่โล่ง และ มลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและการคมนาคม เพื่อลดผลกระทบและพัฒนาคุณภาพอากาศจึงได้ตั้ง 3 เป้าหมายที่งานวิจัยจะเข้ามาช่วยนั่นคือ

  1. ลดจำนวนวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน ไม่เกิน 50 วัน/ปี ด้วยการใช้เทคโนโลยีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ลดการปล่อยมลพิษในอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง และสนับสนุนการเกษตรแบบ Zero Burning ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร
  2. ลดจำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ (COPD) ที่แอดมิตจากปัญหาฝุ่นPM2.5 ไม่เกิน 1,000 คนต่อปี ในพื้นที่ 8 จังหวัด ด้วยการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ให้ประชาชนรับรู้ระดับฝุ่น PM2.5 และแนวทางป้องกันสุขภาพส่งเสริมการใช้หน้ากาก N95 และเครื่องฟอกอากาศ ในโรงเรียนและสถานที่สาธารณะและสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรและอาหารเสริมป้องกันผลกระทบของฝุ่น PM2.5
  3. จำนวน Hotspot จากการเผาในที่โล่ง ให้ไม่เกิน 5,000 จุดต่อปี ในพื้นที่ 8 จังหวัด ผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และภาพถ่ายดาวเทียม ติดตามและแจ้งเตือนจุดเผาไหม้แบบเรียลไทม์ พัฒนาโครงการ “เกษตรปลอดการเผา” (Zero Burning Agriculture) ให้เกษตรกรใช้วิธีการไถกลบแทนการเผาบังคับใช้กฎหมายกับการเผาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเข้มงวด

พร้อมแนะวิธีการทำวิจัยให้ตรงเป้ากับการนำไปใช้ประโยชน์ จะช่วยให้นำผลลัพธ์ไปใช้ประโยชน์ได้จริง และช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบใน 7 ขั้นตอน ดังนี้

  1. กำหนดเป้าหมายของการวิจัย : ก่อนเริ่มดำเนินงานวิจัย นักวิจัยต้องกำหนดว่าผลลัพธ์จากงานวิจัยจะถูกนำไปใช้เพื่ออะไร ให้แนวทางการศึกษามีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐ เพื่อพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีให้สามารถแก้ปัญหาได้จริง หรือเพื่อสร้างความเข้าใจด้านสุขภาพ เป็นต้น โดยการตั้งคำถามวิจัยให้มีเป้าหมายชัดเจน อาจเป็น “แหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 คืออะไร?” ใช้สำหรับกำหนดนโยบายควบคุมมลพิษ
  2. การศึกษาความต้องการของผู้ใช้ผลวิจัย : ผู้ใช้ผลวิจัยต้องการข้อมูลประเภทใดบ้างซึ่งควรตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ผลวิจัยในทุกภาคส่วน เช่น หน่วยงานภาครัฐ ต้องการข้อมูลเพื่อกำหนดนโยบายควบคุมมลพิษ และแนวทางลดแหล่งกำเนิด PM2.5 ภาคอุตสาหกรรม ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ แนวทางลดมลพิษในกระบวนการผลิต และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือภาคประชาชนและสังคมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ คุณภาพอากาศ และ แนวทางป้องกันสุขภาพ
  3. การเลือกแนวทางวิจัยที่เหมาะสม : ต้องเลือกแนวทางที่เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง อย่างการช่วยกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษทางอากาศได้ การพัฒนาอุปกรณ์และระบบที่ช่วยลด PM2.5 หรือสามารถส่งเสริมการรับรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชน
  4. ตรวจสอบความเป็นไปได้ของการนำไปใช้ : เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผลงานวิจัยสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้ โดยคำนึงถึงต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป เข้าถึงได้ง่ายและสามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลาย และการนำไปต่อยอดได้
  5. สื่อสารผลการวิจัยให้เข้าถึงง่าย : นำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายหน่วยงานภาครัฐต้องการรายงานเชิงนโยบาย ที่มีข้อเสนอแนะที่ชัดเจน นักวิชาการต้องการบทความวิจัยที่มีข้อมูลเชิงลึกประชาชนทั่วไปต้องการ Infographic วิดีโอ และแอปพลิเคชัน ที่ใช้งานง่าย
  6. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ : เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีผลกระทบในหลายมิติ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยอาศัยเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น จึงต้องสร้างความร่วมมือทั้งภาควิชาการ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
  7. การติดตามผลและพัฒนาต่อยอด : ต้องมีกระบวนการติดตามผลและพัฒนาต่อยอด เพื่อให้มั่นใจว่างานวิจัยนั้นถูกนำไปใช้จริง และสามารถสร้างผลกระทบที่เป็นรูปธรรมต่อสังคมได้ในอนาคต

ตัวอย่างงานวิจัยด้านทรัพยากรน้ำบาดาล

น้ำบาดาลเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำผิวดินจำกัดหรือเกิดภัยแล้ง การวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำบาดาล (Groundwater Governance) จึงเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากนักวิชาการและหน่วยงานนานาชาติ เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากน้ำบาดาลต้องอาศัยความสมดุลระหว่างความต้องการของมนุษย์ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โพยม สราภิรมย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างความแห้งแล้งหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการกักเก็บและเติมน้ำของแหล่งน้ำบาดาล แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการวิเคราะห์ผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อแหล่งน้ำบาดาลเพื่อพัฒนานโยบายการบริหารจัดการน้ำบาดาลที่ยืดหยุ่น เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและศึกษาการใช้เทคโนโลยีเติมน้ำบาดาล (Managed Aquifer Recharge – MAR) เข้ามาช่วยเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินในประเทศไทย ต่อมาเป้นประเด็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำบาดาลข้ามพรมแดน น้ำบาดาลในหลายพื้นที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในประเทศเดียว แต่ไหลเวียนข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ ต้องแก้ไขด้วยการศึกษาโครงสร้างการจัดการน้ำบาดาลในลุ่มแม่น้ำที่ไหลผ่านหลายประเทศ เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้น้ำบาดาลที่ไม่ยั่งยืนต่อประเทศเพื่อนบ้าน และเสนอแนะกรอบนโยบายและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำใต้ดินอย่างเป็นระบบ สุดท้ายคือความยั่งยืนของน้ำบาดาล ที่ต้องสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้การใช้น้ำบาดาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนในการสูบน้ำใต้ดิน

โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลอย่างยั่งยืน จะมุ่งเน้นไปที่การ สำรวจ ค้นหา และพัฒนาแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภค สำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาลพร้อมทำทำแผนที่อุทกธรณีวิทยา เพื่อขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล แก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นให้กับประชาชนได้ รวมไปถึงการควบคุมการใช้น้ำบาดาลให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนและลดปัญหาการสูญเสียน้ำใต้ดิน การดำเนินดหล่านี้สามารถกำหนดเป็นนโยบายและเป้าหมายการใช้น้ำบาดาลในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน อีกส่วนหนึ่งที่นักวิจัยชี้ว่าต้องเร่งศึกษาและนำมาปรับใช้งานภายในประเทศไทยคือการใช้เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ระบบอุทกธรณีวิทยาและน้ำบาดาล เป็นประโยชน์ในการคำนวณอัตราการเติมน้ำบาดาลในพื้นที่แห้งแล้ง ประเมินและตรวจสอบคุณภาพของน้ำบาดาลในประเทศ นอกจากการวิจัยแล้วผู้วิจัยต้องคำนึงถึงกลยุทธ์การขับเคลื่อนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการน้ำบาดาลด้วย การวิจัยที่ดีไม่เพียงแต่ต้องมีความถูกต้องทางวิชาการ แต่ต้องสามารถนำไปใช้ได้จริง สิ่งที่เคยทำไปแล้วมีอะไรที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังไม่นำไปใช้ประโยชน์ได้

ตัวอย่างงานวิจัยด้านการลดขยะให้เป็นศูนย์ Zero Waste

ปัญหาขยะพลาสติกเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของโลก การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการลดปริมาณขยะ ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) แนวคิด “Zero Waste” หรือการลดขยะให้เป็นศูนย์จึงเป็นอีกประเด็นที่นักวิจัยควรให้ความสำคัญ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ เหลืองประเสริฐ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ว่าแนวคิด Zero Waste และเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเป็นแนวทางที่ดี แต่ยังมีอุปสรรคที่ต้องแก้ไขไม่ว่าจะเป็นการนำผลงานวิจัยไปใช้จริงยังมีข้อจำกัด การคัดแยกขยะยังไม่มีประสิทธิภาพในบางพื้นที่ หรือแม้กระทั่งการเพิ่มแรงจูงใจให้กับประชาชนและภาคธุรกิจยังเป้นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นสิ่งที่ผู้วิจัยจะทำได้คือการเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่กำลังพอทำได้ “การพัฒนาถังขยะอัจฉริยะ (Smart Bin) นวัตกรรมเพื่อการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ” ก็เป็นงานวิจัยที่เห็นผลลัพธ์อันดีแก่สังคม จากแนวคิดที่อยากให้ถังขยะมีระบบที่ใช้เซ็นเซอร์และเทคโนโลยีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (IoT) เพื่อตรวจสอบปริมาณขยะและแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาที่ต้องจัดเก็บ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างมาก เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะ ลดปัญหาขยะล้นและปัญหาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเมืองอัจฉริยะให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังส่งเสริมการดำเนินการวิจัยด้วยกลยุทธ์ Trash2Cash ระบบสะสมแต้มและแลกของรางวัลเพื่อส่งเสริมการจัดการขยะดึงดูดให้ประชาชนหันมาสนใจและลงมือทำเป็นแนวทางสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน นั่นคือขั้นของการต่อยอดผ่าน แนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” มาใช้เป็นแนวทางสำคัญในการลดปริมาณขยะและเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ นั่นคือการแปลงขยะให้กลายเป็นวัสดุรีไซเคิลที่ส่งออกให้ภาคธุรกิจต่อได้ รวมถึงการนำไปต่อยอดในเชิงนโยบาลของชุมชน

ตัวอย่างงานวิจัยด้านเศรษฐกิจสีน้ำเงิน

การพัฒนาและใช้ทรัพยากรทางทะเล (เศรษฐกิจสีน้ำเงิน)อ ย่างยั่งยืนเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ต้องดำเนินการ โดยงานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรเหล่านี้จำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถนำผลลัพธ์ไปปรับใช้จริงและเกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และเศรษฐกิจ

รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาตร์ มหาลัยรามคำแหง บอกถึงที่มาและความสำคัญ ซึ่งเป็นตัวแปรที่กำหนดเป้าหมายของงานวิจัย ได้แก่ ความต้องการในการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ความต้องการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล เพิ่มนวัตกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรทางทะเลให้มากขึ้น และต้องการพัฒนาชุมชนและสังคมชายฝั่งอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือการรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ ผ่านแนวทางการพัฒนาอย่างการวิเคราะห์มูลค่าทางเศรษฐกิจของทรัพยากรทางทะเล ศึกษามูลค่าทางเศรษฐกิจของทรัพยากร เช่น แนวปะการัง ป่าชายเลน และแหล่งประมง หาแนวทางการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ศึกษาแนวทางเก็บภาษีคาร์บอน หารประเมินต้นทุนและผลตอบแทนจากการใช้ทรัพยากรทางทะเลในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมไปถึงการพัฒนาแนวทางการคุ้มครองพื้นที่ทางทะเล

เนื่องจาก เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) เป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ พลังงานหมุนเวียน และการจัดการทรัพยากรทางทะเล ด้วยการดำเนินการหลากหลายมิติ ได้แก่ การใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data ในการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ หรือใช้ในเชิงตรวจสอบ ติดตามเรือประมงเพื่อลดการทำประมงผิดกฎหมายและควบคุมโควต้าจับสัตว์น้ำ ใช้ Blockchain เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของอาหารทะเล หรือแม้กระทั่งส่งเสริมการพัฒนาโปรตีนทางเลือกเพื่อลดการพึ่งพาการประมงจากธรรมชาติ

ทั้งหมดนั้นเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนสำหรับการท่องเที่ยวทางทะเล ส่งเสริมแนวทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พัฒนาเศรษฐกิจชุมชนจากการท่องเที่ยวทางทะเลให้กับประเทศไทยเพิ่มขึ้น ในส่วนของการส่งเสริมของภาครัฐสามารถเข้ามาช่วยนักวิจัยผ่านการสนับสนุนกลไกทางการเงิน เช่น Blue Bonds (พันธบัตรที่ใช้ระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับ การอนุรักษ์มหาสมุทรและพลังงานสะอาด) และ Green Finance (การลงทุนที่มุ่งเน้นไปที่โครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฟื้นฟูระบบนิเวศ) หรือสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจสีน้ำเงิน หรือธุรหิจที่เน้นการดำเนินงานตามแนวคิด ESG พร้อมส่งเสริมตลาดสำหรับ Blue Carbon Credits ให้มากขึ้น

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ปี 2025 คนทำสื่อต้องปรับตัว แนะสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ จัดอีเวนต์เชื่อมโยงผู้คน

จุฬาฯ เปิดเวที “พิรงรอง Effect” ชี้อนาคต กสทช.-สื่อไทย

ข้อมูลความยั่งยืน มีสองเวอร์ชัน

×

Share

ผู้เขียน