ธุรกิจกางแผนปฏิบัติการเชิงรุก สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เสวนา ภาคธุรกิจไทยมุ่งสู่ Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน ที่เพิ่งปิดฉากลง ผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำได้ร่วมกันฉายภาพนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตสีเขียวที่จับต้องได้ พร้อมสะท้อนเสียงเรียกร้องไปยังภาครัฐ ให้เร่งปลดล็อกอุปสรรคเชิงนโยบายที่ยังคงเป็น “กับดัก” ขัดขวางการเปลี่ยนผ่าน เพื่อเร่งสปีดประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง
องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development หรือ TBCSD) ในฐานะเครือข่ายธุรกิจด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดเครือข่ายหนึ่งของประเทศที่เกิดจากการรวมตัวกันขององค์กรภาคธุรกิจไทยและรัฐวิสาหกิจชั้นแนวหน้า จำนวน 46 องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน อันครอบคลุมทุกกลุ่ม อุตสาหกรรมหลักของประเทศ ได้มีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานองค์กรภาคธุรกิจไทยไปสู่ องค์กรต้นแบบธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน ร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute หรือ TEI) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมในการยกระดับการบริหารจัดการ สิ่งแวดล้อมอันครอบคลุมทุกมิติ ได้จัดงานสัมมนาเรื่อง “Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ยั่งยืน”
เขียวตั้งแต่เกิด
ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ปรัชญาองค์กรหยั่งลึกด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนมาตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2535 พร้อมผลิตภัณฑ์เรือธง จระเข้เขียวื(กาวซีเมนต์) ซึ่งการใช้ สีเขียว เป็นความตั้งใจสื่อถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมเด่นที่สร้างชื่อคือ ยาแนวผสมไมโครแบนด์ป้องกันราดำ ที่จระเข้เป็นรายแรกของโลก และ Road Fix Express ผลิตภัณฑ์ซ่อมผิวถนนที่ฉาบเพียง 5 มม. เสร็จในคืนเดียว ลดเวลา ลดฝุ่น และทรัพยากร
ด้านกระบวนการผลิตสีเขียว (Green Process) บริษัทฯ ลงทุนระบบดูดฝุ่นล้ำสมัยและนำฝุ่นที่ดูดได้ทั้งหมดกลับมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนของเสียเป็นศูนย์ ภายใต้แนวคิด “Beyond Pain Point” ขณะที่ด้านบุคลากร (Green People) มี “จระเข้ Academy” ร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและกรมอาชีวศึกษา อบรมช่างให้มีมาตรฐาน รวมถึงกิจกรรม CSR “แบ่งปันความรู้กับครูพี่เข้” สอนซ่อมสร้างในชุมชน
ปัจจุบัน สินค้าฉลากเขียวของจระเข้คิดเป็น 68% ของ SKU ทั้งหมด และยอดขายจาก Green Product สูงถึง 63% บริษัทฯ ยังเดินหน้าขอฉลาก EPD (Environmental Product Declaration) ไปแล้ว 30 รายการ และกำลังยื่นอีก 30 รายการ พร้อมประกาศเป้า Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero ปี 2065 ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่น บริการขนส่ง “สามีขับภรรยาขน” และร่วมมือกับ SCGP พัฒนา Green Packaging ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งนำไปปลูกป่าชายเลน
“ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ปัญหาของใคร แต่เป็นปัญหาของเราที่จะแบบส่งมอบไอ้โลกวันพรุ่งเนี้ยแบบไหน” ดร.จิรัฏฐ์ กล่าว
Responsible Purchasing มาตรฐานโลก
เบญจพร นำศิริ Supply Chain Director บริษัท แซง-โกแบ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แซง-โกแบ็ง (ประเทศไทย) เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทฝรั่งเศสที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 360 ปี ตั้งแต่ผลิตกระจกให้พระราชวังแวร์ซายในปี 1665 และมีพนักงานกว่า 160,000 คนใน 76 ประเทศทั่วโลก ด้วยวิสัยทัศน์ “Making the world a better home” และเป้าหมาย Net Zero Carbon ทั่วโลกภายในปี 2050 กลุ่มบริษัทสามารถลดการปล่อยคาร์บอน Scope 1 และ 2 ได้แล้ว 34% (ข้อมูลสิ้นปี 2024)
หัวใจหลักคือ การจัดซื้อจัดจ้างอย่างรับผิดชอบ ผ่าน 4 เสาหลัก: Purchaser Awareness (สร้างความตระหนักรู้ให้ผู้จัดซื้อผ่าน Purchaser Charter), Supplier Engagement (ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ผ่าน Supplier Charter และประเมิน CSR โดย Ecovadis/Sedex), Digital Support (แพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจรสำหรับ e-Bidding ที่เชื่อมโยงข้อมูล CSR) และ CO2 Monitoring (มี CO2 Champion ติดตามการปล่อยคาร์บอนและวางกลยุทธ์ร่วมกับซัพพลายเออร์)
กลุ่มบริษัท Saint-Gobain กำหนด Responsible Purchasing สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัท ฯ ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่องค์กรนำมาใช้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการ เลือกวัตถุดิบ สินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจ และ ตระหนักถึงบทบาทของตนในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ตลอดจนมีการคัดเลือกผู้จัดจำหน่ายที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มีแนวทางลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ และร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero Carbon ภายในปี 2593
การบูรณาการ กระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกด้วยและเป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่ม Saint-Gobain
พลังงานสะอาดจากนวัตกรรมเศษแก้วรีไซเคิล 100%
ปัจจุบันปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนกำลังเผชิญ และต้องเร่งแก้ปัญหาร่วมกัน เอสซีจี และบริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญทั้งนโยบายและการร่วมมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด ได้การรับรองฉลากเขียว (Green Label) มาอย่างยาวนาน จากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบหลักที่ใช้เศษขวด Recycle มาใช้ในการผลิตสินค้า ทำให้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกและประหยัดพลังงานในการหลอม
ต่อศักดิ์ หิรัญโญภาส Operation Director – Drying and Firing Technology บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด กล่าวว่า ภายใต้กลยุทธ์ “Green Innovation for Better Living” มีจุดเด่นที่การใช้วัตถุดิบจาก “เศษแก้วรีไซเคิล 100%” แทนทรายแก้ว ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและประหยัดพลังงานมหาศาลในการหลอม (อุณหภูมิหลอมเศษแก้ว 1,200°C เทียบกับทรายแก้ว 1,500-1,600°C)
ตั้งแต่ปี 2009 บริษัทฯ ใช้ขวดรีไซเคิลกว่า 420 ล้านขวด ลดคาร์บอนกว่า 4 แสนตัน เทียบเท่าปลูกต้นไม้กว่า 28 ล้านต้น และฉนวนยังช่วยประหยัดค่าไฟบ้านได้ปีละ 3,000-4,000 บาทต่อเครื่องปรับอากาศ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับมาตรฐาน Green Industry ระดับ 4
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยโลกเรื่องสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ภาคธุรกิจไทยที่มุ่งสู่ Net Zero สังคมคาร์บอนต่ำ การจัดซื้อจัดจ้างมีความสำคัญในการเลือกใช้วัสดุ สินค้า ที่มีการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม จะสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจไทยและโลกในอนาคต
สร้างแรงบันดาลใจเพื่อการก่อสร้างยั่งยืนด้วย Clean, Green, Safe
ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) บริษัทสีสัญชาติไทยอายุ 60 ปี มุ่ง “Inspiring a sustainable construction” ผ่านแนวคิดผลิตภัณฑ์ 3 ด้าน: Clean (ลดสารเคมีอันตราย, สีสูตรน้ำ VOC ต่ำ ผลิตภัณฑ์ Two-in-one Multi-surface) Green (ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม, ผลิตภัณฑ์ TOA Organic Care ที่ใช้ Bio-based และได้รับฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์) และ Safe (สีสะท้อนความร้อน SuperShield สำหรับผนัง และ TOA HeatShield สำหรับหลังคา)
วิภาดา นาคไพรัช ผู้อำนวยการสายงาน SHE & Quality Management and Sustainability บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงผลกระทบจากอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 34% จึงตั้งเป้า Net Zero ปี 2050 ด้วยกลยุทธ์ “Seven Green” และปัจจุบันมีสินค้าที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์รีดักชั่นแล้วถึง 131 รายการ การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) ยังรวมถึงการประเมิน ESG ของซัพพลายเออร์และแบ่งเป็น Tier เพื่อพัฒนาร่วมกัน
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “Greenovation” เพื่อให้อาคารและสิ่งปลูกสร้างสามารถส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่มนุษย์และระบบนิเวศ อันเป็นรากฐานสำคัญของสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืนในยุคต่อไป
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการสร้างสรรค์ความงามและความสุนทรีย์ แต่ยังก้าวความไปสู่บทบาทสำคัญในการบรรเทาวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะโลกร้อน ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตของอาคาร ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างไปจนถึงการใช้งาน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทีโอเอ จึงมิได้เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้วัสดุ แต่เป็นการเชื้อเชิญทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกอย่างแท้จริง
เรียกร้องรัฐปลดล็อกนโยบาย
เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภาคเอกชนเรียบร้องให้ภาครัฐปลดล็อกอุปสรรคและเร่งเครื่องการดำเนินงาน แม้ทิศทางของภาคเอกชนจะมีความชัดเจนและแข็งขัน แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญที่ต้องการการแทรกแซงเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วนจากภาครัฐ
ประเด็นหลักประกอบด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัตถุดิบ ความไม่พร้อมของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ยังขาดทรัพยากรและความรู้ความเข้าใจ นอกจากนี้ ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคที่ยังคงให้ความสำคัญกับราคามากกว่าความยั่งยืน รวมถึงนโยบายและกฎระเบียบที่ยังไม่เอื้ออำนวย เช่น ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการ End of Waste หรือการยอมรับมาตรฐานสากล ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ ภาคเอกชนจึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญหลายประการต่อภาครัฐเพื่อผลักดันวาระแห่งชาตินี้ให้สำเร็จลุล่วง ประการแรกคือการกำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการลงทุนในระยะยาว ประการที่สองคือการออกมาตรการจูงใจที่เป็นรูปธรรม ทั้งในรูปแบบของสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการสนับสนุนทางการเงิน
นอกจากนี้ ภาครัฐควรเป็นผู้นำร่องในการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) เพื่อสร้างอุปสงค์และเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมกันนี้ ควรมีการลดขั้นตอนและอุปสรรคทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับโครงการสีเขียวต่าง ๆ รัฐบาลควรพิจารณาบังคับใช้มาตรการที่จำเป็นอย่างจริงจัง เช่น ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะการช่วยเหลือ SMEs และสุดท้ายคือการส่งเสริมการยอมรับและปรับใช้มาตรฐานสากล เพื่อลดความซ้ำซ้อนและยกระดับการดำเนินงานของประเทศ
การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม ภาคเอกชนไทยได้แสดงเจตจำนงและความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว การตอบสนองด้วยนโยบายที่เฉียบคมและทันท่วงทีจากภาครัฐ จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่กำหนดอนาคตสีเขียวของประเทศไทย