Share on
×

Share

“ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร” จากเด็กติดเกม สู่นักพัฒนา AI แห่ง iApp Technology

เมื่อความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสมองกลที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ใกล้เคียงมนุษย์ ถูกพัฒนาให้ล้ำไปอีกขั้น ด้วยการสร้าง AI ให้มีสัมผัสและการรับรู้ (Sense) แบบมนุษย์ รวมถึงสื่อสารกับมนุษย์ด้วยภาษาธรรมชาติที่มนุษย์ใช้

เส้นทางสายไอทีของ ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ซีอีโอผู้ก่อตั้ง บริษัท iApp Technology จำกัด จึงมุ่งตรงสู่การพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญด้านภาษาให้กับ AI เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ และระบบสื่อสารหุ่นยนต์ภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพด้วยฝีมือคนไทย

แน่วแน่ในเส้นทางสายไอที

ความหลงใหลในวัยเยาว์ที่เริ่มต้นจากความชื่นชอบคอมพิวเตอร์และเกม สู่ความสนใจศึกษาการเขียนโปรแกรมจากนิตยสารคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง จนเข้าขั้นปล่อยโอเพนซอร์สแผนที่เกม cs_untitled ในเกมยิงปืน Counter Strike ที่มีคนเล่นทั้งประเทศได้ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมหก และยังคงเขียนโปรแกรม ทำเกม แผนที่เกม ปล่อยเป็นโอเพนซอร์สเรื่อยมาขณะศึกษาระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ก่อนมุ่งตรงสู่การเรียนสายวิทย์-คอมในระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

ปัญหาสถานศึกษาซึ่งไกลจากบ้านที่รังสิต และความอยากเพิ่มทักษะด้านภาษาอังกฤษ ทำให้ ดร.กอบกฤตย์ เลือกที่จะศึกษาต่อระดับปริญญาตรี เอกวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความคิดแรกเริ่มที่ต้องการเป็นเพียงนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อได้พบ ศ.ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) ที่ชักนำสู่วงการ AI และได้ทำงานด้านวิชาการเกี่ยวกับ “ AI ในการแยกแยะผู้คน” กระทั่งได้ทุน TAIST-Tokyo Tech ไปเรียนต่อระดับปริญญาโทเพื่อศึกษาเรื่อง AI บนระบบสมองกลแบบฝังตัว (Embedded System) และระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับ Idea Creativity Support Systems เพื่อทำให้ AI เข้าใจแนวคิดของมนุษย์ หรือช่วยออกไอเดียให้มนุษย์ ที่สถาบัน JAIST (Japan Advanced Institute of Science and Technology) อิชิคาวะ ประเทศญี่ปุ่น

“ผมตอบรับอาจารย์ธนารักษ์เพราะถูกจริตตัวเอง สมัยก่อนคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ ต้องเขียนโปรแกรมกำกับ จึงอยากทำให้คอมพิวเตอร์ฉลาดยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังรู้มาตั้งแต่ปี 2550 ว่า AI จะมีบทบาทสำคัญและเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต” ดร.กอบกฤตย์ กล่าว

จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือความโชคดีที่อาจารย์ซึ่งสอนปริญญาเอกที่ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จึงสบโอกาสไปทำงานที่นั่นพร้อมกับการทำงานวิจัยด้านภาษามนุษย์ในปี 2556 ซึ่งเป็นปีที่กระแสสตาร์ตอัพที่อเมริกาบูมมาก ส่วนซานฟรานซิสโกได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของนักลงทุน VC การได้รู้จักกับเพื่อน ๆ ที่อยู่กับวัฒนธรรมองค์กรแบบสตาร์ตอัพที่ส่วนตัวรู้สึกว่า “เจ๋ง” จึงหันเหความคิดอยากเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ตอัพมากกว่าการเป็นอาจารย์หรือนักวิชาการ

“คุณแม่ผมเป็นนักธุรกิจ ส่วนคุณพ่อเป็นอาจารย์ แต่ผมชอบธรรมชาติของความเป็นนักธุรกิจซึ่งมีพื้นที่ให้ทดลองได้มากกว่า อีกทั้งมีคุณแม่เป็นต้นแบบด้วย จึงเลือกเดินทางสายผู้ประกอบการดีกว่า”

ปูประสบการณ์ด้านสตาร์ตอัพ

ณ เวลาที่ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับสตาร์ตอัพใด ๆ ดร.กอบกฤตย์เลือกที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากงานสัมมนาด้านสตาร์ตอัพ หรือ VC

“ผมเจอเด็กจีนคนหนึ่งเพิ่งจบมัธยมปลาย ซื้อตั๋วเครื่องบินมา pitch ไอเดียเพื่อหาทุนที่อเมริกา ทั้งที่ไม่เคยเรียนที่นี่มาก่อน ภาษาอังกฤษก็พูดได้พอประมาณ ไปกี่งานก็เจอเขาจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจ คิดดูว่า เด็กเพิ่งจบมัธยมยังกล้ามาลำพัง แต่ผมเรียนปริญญาเอกด้วยซ้ำ กลับกังวลอะไรหลายอย่างเวลาที่ต้องมาอยู่ต่างประเทศคนเดียว”

การหันเหจากเส้นทางสายวิชาการสู่การเป็นผู้ประกอบการสตาร์ตอัพอย่างจริงจัง เริ่มต้นภายหลังกลับมาประเทศไทย ด้วยการตั้งบริษัท iApp Technology ของตัวเอง ในปี 2556 ทำธุรกิจรับจ้างเขียนโปรแกรมเพื่อหารายได้ ควบคู่กับการสมัครเข้าโครงการ Joyful Frog Digital Incubator ซึ่งเป็นโครงการ Accelerator ของประเทศสิงคโปร์ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน เปิดธุรกิจ “Rush Bike” เพื่อให้บริการแมสเซนเจอร์ ส่งเอกสารและส่งของด้วยรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย แต่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่สิงคโปร์เนื่องจากได้ทุนจากที่นั่น รวมถึงเงื่อนไขจดทะเบียนบริษัทค่อนข้างสะดวก และได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่า อาทิ สตาร์ตอัพไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐหากทำรายได้ไม่ถึง 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่ง Rush Bike สามารถทำยอดขายได้ 9 หมื่นกว่าทริป (Trip) มีคนขับในระบบราวพันกว่าคน แต่สุดท้ายต้องออกจากธุรกิจหลังดำเนินการมาได้ราว 2 ปี

“ตอนนั้น Grab เจรจาว่าจะเข้ามาทำธุรกิจในไทย จึงอยากขอซื้อกิจการเพราะเห็นว่ามีลูกค้าอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง แต่เพื่อนผมที่เป็นซีอีโอไม่ขายเพราะอยากโตไปเป็นมิลเลียนแนร์ ปรากฎว่า สัปดาห์แรกที่เข้ามาทำตลาดเองในไทย  Grab แข่งขันด้วยการกดราคาค่าบริการจนยอดจ้างงานที่เคยได้เดือนละ 5-6 พันออเดอร์ เหลือเพียง 100 กว่าออเดอร์ สุดท้ายต้องตัดสินใจขายธุรกิจให้กับบริษัท ยู อินโฟ จำกัด บริษัทแมสเซนเจอร์รายใหญ่ของไทย ซึ่งแพลตฟอร์มที่เราพัฒนายังใช้งานในธุรกิจที่เป็นคอร์หลักของเขาจนถึงปัจจุบัน”

สถานการณ์ที่พลิกผันทำให้ ดร.กอบกฤตย์ หันกลับมามุ่งการพัฒนาแอปพลิเคชัน ภายใต้ iApp  ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี เช่น กลุ่มเนชั่น กลุ่มบริษัทประกันภัย จนกระทั่งปี 2560 ทางกลุ่มบริษัท จันวาณิชย์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการงานพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีที่ป้องกันการปลอมแปลงขั้นสูง ให้ทุนมา 12 ล้านบาท สำหรับพัฒนาเทคโนโลยี AI แลกกับการถือหุ้นในบริษัท 30% เป็นอีกจุดพลิกผันที่เปลี่ยนจากการพัฒนาแอปพลิเคชันมามุ่งพัฒนาด้าน AI เพียงอย่างเดียว

AI กับการสร้าง Sense ทั้ง 4 “ตาเห็น-หูฟัง-ปากพูด-สมองคิด”

iApp วางคอนเซ็ปต์การพัฒนา AI ในรูปแบบ API ที่แบ่งหมวดหมู่การใช้งานตามสัมผัสการรับรู้ของมนุษย์ 4 รูปแบบ ได้แก่ ตาเห็น-หูฟัง-ปากพูด-สมองคิด โดยยึดหลักการรับฟังความต้องการของลูกค้าเป็นพันธกิจของการพัฒนา แล้วให้ตลาดเลือกว่า จะต่อยอดไปใช้สนับสนุนการทำงานด้านใด

“AI ด้านการอ่านหรือมองเห็น” เริ่มขึ้นจากความต้องการของตลาดในเรื่อง E-KYC (Electronic Know Your Customer) การยืนยันตัวตนผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในปี 2560 iApp ออกผลิตภัณฑ์ตัวแรก ชื่อว่า “Thai National ID Card OCR” เป็นแพลตฟอร์มบริการแกะภาพใบหน้า แยกฟิลด์ข้อมูลบนบัตรประชาชน เปลี่ยนให้อยู่ในรูปข้อความตัวอักษรเก็บไว้ในฐานข้อมูล

ถัดมาเป็นแพลตฟอร์มบริการอ่านป้ายทะเบียนรถ LPR (License Plate Recognition) ที่สามารถแยกเลขทะเบียน แยกรุ่นรถ ยี่ห้อรถต่าง ๆ จากลักษณะของป้ายทะเบียนได้ทุกรุ่น ซึ่งเป็นที่ต้องการของบริษัทรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ในการดูแลหมู่บ้าน อาคารสถานที่ หรือการเข้าพื้นที่ต่าง ๆ สามารถจ่ายค่าบริการในแต่ละครั้งที่ใช้งาน หรือเหมาจ่ายเป็นรายเดือนแล้วแต่ตกลง นอกจากนี้ ยังมีบริการสแกนหน้าสมุดบัญชี ถอดเป็นข้อมูลเลขที่บัญชีธนาคารเก็บเข้าฐานข้อมูล ต่อเนื่องไปยังบริการที่เกี่ยวข้องกับเอกสารทางราชการต่าง ๆ  อาทิ ทะเบียนบ้าน หนังสือเดินทาง เป็นต้น

“ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดในหมวดนี้ คือ บัตรประชาชนและป้ายทะเบียนรถ อย่างบัตรประชาชน เราขายดีชนิดที่สามารถทำยอดขอใช้งาน (Request) ได้มากถึง 1 ล้านครั้งต่อเดือน ส่วนป้ายทะเบียนรถมียอดขอใช้งานเฉลี่ย 2 ล้านครั้งต่อเดือน อย่างบริษัทประกันหรือบริษัทที่รับทำร่างสัญญาจะชอบมาก เพราะเขาถ่ายรูปแล้วไม่ต้องกรอกข้อมูล ระบบจะอ่านและจัดการแปลงเป็นข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ ขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มียอดขอใช้งานประมาณ 5-6 หมื่นครั้งต่อเดือน”

“AI ด้านการฟัง” ได้แก่ iApp Subtitle Generator ในการถอดคำพูดจากไฟล์เสียงทุกสกุลไฟล์หรือไฟล์วิดีโอ ด้วยการประมวลผลที่เร็วกว่าเวลาจริง 60 เท่า เช่น ไฟล์ยาว 1 นาที ใช้เวลาประมวลผลเพื่อถอดเสียงเพียง 1 วินาที ไฟล์ยาว 1 ชั่วโมงใช้เวลาในการประมวลผล 1 นาที รวมถึงสามารถแยกประโยค แยกเสียง แยกได้ว่า มีผู้พูดจำนวนกี่คน สามารถแก้ไขการถอดคำที่ผิดพลาด รวมถึงฝังคำบรรยาย (Subtitle) กลับเข้าไปในไฟล์วิดีโอ และดาวน์โหลดเป็นไฟล์ Zip ไปใช้งานได้ทันที หรือจะเลือกพิมพ์เป็นบทพูด (Transcript) ในรูปแบบไฟล์ Excel ซึ่งระบุประโยคของผู้พูดแต่ละคนพร้อมวินาทีที่พูด เพื่อนำไปใช้งานได้ทันทีเช่นกัน

“AI ถอดเสียงเป็นที่ต้องการของลูกค้ามาก เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้รองรับการถอดเสียงทั้งภาษาไทย ภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งใกล้จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ส่วนการถอดบทพูดภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ตั้งใจว่าจะปล่อยเวอร์ชันให้ทดลองใข้ฟรี 100 คลิบแรก จากนั้นจึงจะเริ่มเก็บค่าใช้จ่าย”

“AI ด้านการพูด” เป็นเรื่องของ Text to Speech ซึ่ง iApp ได้พัฒนา AI ในการแปลงข้อความเป็นเสียงพูดที่สังเคราะห์ขึ้นจากเสียงต้นแบบ 2 เสียง คือ ซี ฉัตรปวีณ์ และหุ่นยนต์ “ไข่ต้ม” ตัวอย่างงานที่เคยทำ เช่น การผลิตวิดีโอแนะนำร้านขายยา 2 พันสาขา โดยใช้เสียงพูดจริงของบุคคลต้นแบบใน 100 สาขาแรก และนำเสียงมาสังเคราะห์ด้วยเอไอผสมกับภาพเคลื่อนไหวของบุคคลต้นแบบ เพื่อสร้างวิดิโอแนะนำสาขาที่เหลืออีก 1,900 แห่ง

“AI ด้านการคิดหรือสมอง” มีผลิตภัณฑ์ชูโรงชื่อว่า เจ๊าะแจ๊ะ จีพีที (Chochae GPT) เป็นเอนจิน (Engine) ที่สร้างขึ้นเพื่อให้องค์กรนำไปพัฒนาต่อเป็นแชตบอตที่ตอบโจทย์การใช้งานทางธุรกิจ อาทิ การตอบคำถามลูกค้า การถาม-ตอบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ  การถาม-ตอบเรื่องกฎระเบียบหรือการทำงานในองค์กร  อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ คือ น้องทนอย (Thanoy) AI Chatbot ผู้ช่วยทนายตอบปัญหากฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา และกฎหมายพาณิชย์ ที่รวบรวมไว้กว่า 10,000 มาตรา เปิดให้บุคคลทั่วไปใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

“องค์กรสามารถเชื่อมการใช้งานผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก หรือเว็บไซต์ สามารถจะคุยด้วยเสียงหรือพิมพ์เป็นข้อความก็ได้  ซึ่ง ณ ตอนนี้มีคนมาสร้างบอตใน เจ๊าะแจ๊ะ จีพีที รวมกว่า 900 บอต ส่วนบอตที่เราสร้างเองอย่างทนอย มียอดเพิ่มเพื่อนเป็นหมื่นคนแล้ว”

ชูธง Product Champion ปั้นคนเสริมแกร่ง AI สัญชาติไทย

เมื่อพูดถึง Valuation ทางธุรกิจ iApp มีมูลค่าหุ้น P/E ที่ 15 เท่า สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 40 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรมาจากแพลตฟอร์มบริการ AI ด้านการเห็น และโพรเจกต์ต่าง ๆ โดยกลุ่มลูกค้าหลัก คือ หน่วยงานราชการ

ส่วนก้าวต่อไปจะเน้นการพัฒนา AI ด้านสมอง ซึ่งคือ เจ๊าะแจ๊ะ จีพีที ให้เก่งกว่าเดิม สามารถเข้าใจภาษาและการสื่อสารของมนุษย์ให้มากขึ้น มีแผนการตลาดให้ชัดเจน และพยายามผลักดันผลิตภัณฑ์ทุกตัวให้เป็น Product Champion ซึ่งต้องพิสูจน์ตัวเองทั้งการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ จัดเต็มในเรื่องเทคโนโลยี และสะสมยูสเคสให้มากขึ้น

“เวลาพูดถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี ทุกคนจะนึกถึงแชมเปียนในตลาดอย่าง Bitkub ผมก็อยากผลักดัน iApp ให้เป็นแชมเปียนในอุตสาหกรรม AI ที่ทุกคนมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานเกี่ยวกับเอกสารราชการ การปรึกษาด้านกฎหมาย รวมถึงมีแนวคิดในการบูรณาการระบบประสาทสัมผัสทั้ง 4 มาสร้างเป็นหุ่นยนต์จริงในอนาคต”

โดยเมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มจันวาณิชย์ได้ให้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีก 10 ล้านบาท เนื่องจากเห็นการเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็ว และต้องการผลักดันการพัฒนา AI ในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม

“จันวาณิชย์นำเทคโนโลยีอย่างการอ่านบัตรประชาชน พาสปอร์ต ที่เราพัฒนาไปใช้และพึงพอใจมาก จึงอยากร่วมลงทุนต่อ ตอนนี้เรามีโฟกัสร่วมกันในเรื่องของการบริหารจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) โดยใช้เจ๊าะแจ๊ะ จีพีที ซึ่งเมื่อนำไปเสนอลูกค้าในหลายกระทรวง ก็ได้รับความสนใจและมีเสียงตอบรับที่ดี”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่บริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ต้องรับมือ คือ การขาดแคลนบุคลากร ซึ่งจุดอ่อนของ iApp คือ ยังขาดทีมที่มีความรู้ด้าน AI ที่มากพอ โดยปัจจุบันมีทีมพัฒนา AI ที่เป็นคอร์หลักอยู่ประมาณ 10 คน จากพนักงานทั้งหมด 35 คน ที่เหลือคือ ทีมพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันประมาณ 10 คน และทีมงานทั่วไป โชคดีที่เมื่อทำเรื่อง ChatGPT ทำให้มีคนสนใจมาทำงานกับองค์กรมากขึ้น

ดร.กอบกฤตย์ กล่าวว่า คนเก่ง ๆ มักมีทางเลือกมาก อย่างการไปทำงานต่างประเทศ แต่เมื่อตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจในไทยเพราะอยากพัฒนาประเทศไทย จึงต้องสร้างคนขึ้นมา ทั้งนี้ ตั้งใจนำเงินทุนส่วนหนึ่งที่ได้มาพัฒนาคน โดยการทำคอร์สอบรมพื้นฐานด้าน AI หาคนมาช่วยสอน เพื่อพัฒนาคนเข้าสู่อุตสาหกรรมให้มากขึ้น เช่น ความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

“ผมอยากเห็นประเทศไทยมีความแข็งแกร่งด้านปัญญาประดิษฐ์ และไม่พลาดโอกาสอย่างที่เคยพลาดมาในอดีต” ดร.กอบกฤตย์ กล่าวทิ้งท้าย

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง พร้อมนำ NIA ปักธงรุกสร้างไทยให้เป็นชาตินวัตกรรม

“เมืองทองธานี” เมืองอัจฉริยะ กับนวัตกรรม Smart Living

ปั้นประกันภัยไทยวิวัฒน์ ยืนหนึ่งด้าน InsureTech ภารกิจร่วมกันของคนสองรุ่นตระกูล “อัศวะธนกุล”

×

Share

ผู้เขียน