Share on
×

Share

ทำอย่างไรให้ “คน” และ “องค์กร” กอดคอกันรอดในยุคเศรษฐกิจฝืด

ในยุคที่การบริหารองค์กรเต็มไปด้วยความท้าทาย เวทีเสวนา “Half Year Trend People” บนเวที Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) ได้สร้างความพิเศษด้วยการนำสองหัวข้อที่มักจะถูกแยกจากกันอย่าง “คน (People)” และ “การเงิน (Finance)” มาหลอมรวมกัน เพื่อตอบโจทย์สถานการณ์ที่ยากลำบากของทั้งองค์กรและพนักงาน โดยมี จิตสุภา วัชรพล Co-CEO ไทยรัฐทีวี และ ไทยรัฐออนไลน์ และ โค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์ โค้ชการเงินจาก Money Coach มาร่วมถอดรหัสกลยุทธ์และมุมมองเพื่อความอยู่รอด

เมื่อผู้นำต้องนำด้วย “ความเข้าอกเข้าใจ” ในวันที่ประสิทธิภาพถูกท้าทาย

จิตสุภา เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า แม้ทุกองค์กรจะมุ่งเน้นการรีดประสิทธิภาพ (Efficiency) แต่หัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการ “Lead with empathy” หรือการนำด้วยความเข้าอกเข้าใจ “ยิ่งโลกภายนอกโหดร้าย เรายิ่งต้องดูแลคนใกล้ตัวให้ดีขึ้น” พร้อมชี้ว่าองค์กรขับเคลื่อนด้วยคน และหากคนไม่มีใจ ก็ยากที่จะพาองค์กรไปต่อได้

ความเข้าอกเข้าใจนี้ เริ่มต้นจากการที่ผู้บริหารต้องดูแลสภาพจิตใจของตนเองให้ดีเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถประคับประคองจิตใจของทีมงานได้ และต้องตระหนักว่าทุกคนเป็น “มนุษย์” ที่มีเงื่อนไขชีวิตและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคนทื่ต้องดูแลพ่อแม่ป่วยติดเตียง คนที่มีลูกเล็ก หรือคนที่ต้องการเวลาไปพักผ่อนจิตใจ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องรับฟังอย่างลึกซึ้ง หรือ “ฟังให้ได้ยินแม้กระทั่งสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา”

สำหรับองค์กรที่ทำงาน 24/7 อย่างไทยรัฐ จิตสุภา ชี้ว่าการรับฟังไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำแบบสำรวจ แต่รวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการ เช่น การทักทายในลิฟต์หรือโรงอาหาร ซึ่งเป็นโอกาสทองในการลดช่องว่างและสร้างความไว้วางใจ โดยยอมรับว่า “ในฐานะที่เป็นหัวหน้า introvert ก็ต้องใช้ความพยายาม” แต่สิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างวัฒนธรรมที่อบอุ่นและเข้าถึงง่าย

เมื่อถูกถามถึงการเลือกระหว่าง “กอดคน” กับ “กอดเงิน” คุณนิคได้ให้กรอบความคิด 3 ระยะของธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจ ว่า ช่วงเริ่มต้น ต้องกอดคน เพื่อเอาไปสร้างเงินให้ธุรกิจเติบโต ช่วงเติบโต ต้องกอดทั้งคนและเงิน เพราะคนคือผู้สร้างรายได้ ช่วงถดถอย (ปัจจุบัน) เป็นความจริงที่เจ็บปวด (Hard truth) ที่ “เราต้องเลือกที่จะกอดคนสำหรับเงินบางส่วน และเลือกที่จะกอดเงินสำหรับคนบางคน”

คู่มือพนักงาน: จาก “มนุษย์ 200%” สู่การเป็นคนที่องค์กร “อยากกอด”

โค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ผู้สวมบทบาท “ตัวแทนสหภาพแรงงานจำเป็น” ให้มุมมองที่ตรงไปตรงมาว่า อันดับแรกพนักงานต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะรายได้คือสารตั้งต้นของการแก้ปัญหา “แม้กระทั่งคุณอยากจะไปรวบหนี้ เขายังต้องถามเลยว่าคุณมีรายได้ไหม” โค้ชหนุ่มกล่าว พร้อมแนะนำแนวคิด “มนุษย์ 200%” คือ 8 ชั่วโมงในที่ทำงานต้องทุ่มเทเต็มที่ 100% ส่วนเวลาว่างค่อยนำไปจัดการปัญหาชีวิตอีก 100%

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าการประหยัดเพียงอย่างเดียวอาจไม่พออีกต่อไป เพราะประเทศไทยติด “กับดักโครงสร้างรายได้” ที่ค่าครองชีพพุ่งสูงไม่สัมพันธ์กับเงินเดือน “ก๋วยเตี๋ยว 35 ไม่เคยเป็น 36 แต่เป็น 40 บาท 45 บาทไปเลย แล้วไม่ลง” ดังนั้นทางรอดที่ยั่งยืนคือ การพัฒนาทักษะให้สูงขึ้น (เก่งขึ้น) และกว้างขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง

สำหรับคำแนะนำที่ว่า “กอดงานให้แน่น” โค้ชหนุ่มตั้งคำถามกลับอย่างเฉียบคมว่า “แล้วคุณน่ากอดไหม?” และขยายความว่า คนที่น่ากอดคือคนที่สร้างคุณค่าให้องค์กรและเพื่อนร่วมงาน ทำให้การทำงานง่ายขึ้น ไม่ใช่ทำงานง่ายๆ แค่สำหรับตัวเองแต่สร้างความลำบากให้คนอื่น คนที่น่ากอดคือคนที่เมื่อเจอผู้บริหารในลิฟต์แล้วเสนอไอเดียว่า “เราน่าจะทำเรื่องนี้นะคะเพื่อปรับปรุงองค์กร” ไม่ใช่คนที่มาเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ส่วนตน คนแบบนี้คือคนที่เมื่อจะลาออก “เขาต้องมาคุยกับคุณว่า เฮ้ยคุยกันก่อน อย่าเพิ่งออก” เพราะการขาดคุณไปคือความเสียหายขององค์กร

ความจริงที่ต้องเผชิญร่วมกัน: เมื่อทุกคนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

ในสภาวะที่องค์กรอาจต้องตัดสินใจเลิกจ้าง โค้ชหนุ่มย้ำว่าพนักงานเองก็ต้องมี ‘Follow with Empathy’ หรือความเห็นอกเห็นใจในมุมขององค์กรเช่นกัน เพราะเมื่อลูกจ้างตกงาน ยังมีเงินชดเชยและประกันสังคมรองรับ แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจ “ถ้าจะปิด… มีเวลาอีก 3 เดือนที่สรรพากรจะเข้ามาคุย” ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วงกว่า

สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับการเลิกจ้าง โค้ชหนุ่มเตือนว่าต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว “ถ้าคุณยึดอยู่กับแบบเดิม คุณอาจจะไม่ได้งานในแบบเดิมๆ อีกแล้ว เพราะงานประเภทนั้นมันหายไปแล้ว” พร้อมยกตัวอย่างตัวเองว่า ก็อาจจะตกงานได้ในไม่ช้าเพราะ AI สามารถตอบคำถามการเงินสไตล์โค้ชหนุ่มได้แล้วเช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ทุกคนต้องพร้อมที่จะนับหนึ่งใหม่ได้เสมอ

การสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ผู้นำต้องสร้างสมดุลระหว่างตัวเลขในกระดาษกับ “Humanware” ที่เป็นคนจริง ๆ ในขณะที่พนักงานต้องพัฒนาตนเองให้กลายเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าและ “น่ากอด” เป็นคนที่องค์กรมองว่า “ถ้าขาดไปนี่น่าจะมีปัญหานะ” ไม่ใช่แค่ทำตัวน่ารัก แต่ต้องมีทั้งความสามารถและความเป็นมืออาชีพ

สุดท้าย โค้ชหนุ่มได้ให้กำลังใจว่า “ต้องรอด” เพราะ “ประสบการณ์ของมนุษย์ที่เคยฝ่าฟันอะไรจนรอดได้หนึ่งครั้ง มันจะเป็นภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่แข็งแกร่ง” เพื่อให้ทุกคนพร้อมเผชิญกับทุกปัญหาที่จะเข้ามาในอนาคต

×

Share

ผู้เขียน