บัลลังก์ ว่องธวัชชัย ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานหลังจากได้รับการชักชวนจากหัวหน้าให้เปลี่ยนจากตำแหน่งหน้าที่ที่ดูแลงานด้านเงินฝากของธนาคาร UOB ประเทศไทย มาดูแลแผนก Digitalization และ Fintech ทั้ง ๆ ที่กว่า 20 ปีในชีวิตการทำงานสายการธนาคาร งานหลัก ๆ ของเขาคือด้าน Retail และการควบรวมกิจการ
ด้วยเหตุผลเดียวคือ ไม่มีใครหนีพ้นการถูก Disruption จากเทคโนโลยีได้
“ผมเป็น Banker มาตลอดชีวิต ตอนที่เข้ามาทำงานด้านเทคโนโลยีเมื่อปี 2023 ผมเคยคุยกับน้อง ๆ ในทีมว่าผมจะเป็นคนที่ไม่ฉลาดที่สุดในทีม เพราะผมจะสู้พวกคุณไม่ได้เลย พวกคุณจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่รู้ว่าเทคโนโลยีคืออะไร” ผู้อำนวยการอาวุโส แผนก Digital Engagement and FinTech Innovation ของ UOB ประเทศไทยย้อนอดีตให้ฟัง
เขาออกตัวว่าไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากนัก แต่คิดว่าความรู้ที่มีตอนทำงานด้าน Retail และ Corporate จะช่วย Connect The Dots ให้กับทีมดิจิทัลของ UOB
“การที่ผมเห็นทั้ง Wholesale ละ Retail ทําให้ผมสามารถ Connect The Dots ได้ง่ายขึ้น ผมคิดว่าผมสามารถ Connect เทคโนโลยีใหม่ ๆ กับความรู้ในสายงานการเงินการธนาคาร ซึ่งจะเป็นก้าวถัดไปในการที่จะดูว่าจะนำเทคโนโลยีไหนมาใช้หรือช่วยแก้ปัญหาให้กับธนาคารได้”
บัลลังก์ยกตัวอย่าง ระบบ Peer-to-Peer Lending หรือการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลต่อบุคคลโดยผ่านระบบออนไลน์และไม่ผ่านตัวกลางซึ่งเป็นการปล่อยกู้โดยใช้ข้อมูลแทนที่จะใช้ Bank Statement ของลูกค้า ซึ่งเราต้องศึกษาว่าระบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและจะเวิร์กอย่างไร
งานหลัก ๆ ที่บัลลังก์รับผิดชอบคือ การวางกลยุทธ์ช่องทางดิจิทัลเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกมากขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและ UOB FinLab
UOB FinLab ในไทยทำอะไร และแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร
การดูแล UOB FinLab เป็นงานหนึ่งที่บัลลังก์รู้สึกภาคภูมิใจ FinLab ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยปรับเปลี่ยนธุรกิจ SMEs สู่ยุคดิจิทัลผ่านการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี พร้อมทั้งแนะนำเครื่องมือดิจิทัลให้ SMEs นำไปใช้ในธุรกิจ รวมถึงแนะนำแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจว่าการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลของ SMEs จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เมื่อได้รับโจทย์จาก UOB สิงคโปร์ว่าอยากให้ช่วยปรับเปลี่ยนธุรกิจ SMEs ในไทยให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี คำตอบที่คิดได้คือต้องทำอะไรที่เข้ากับบริบทและสิ่งแวดล้อมของไทยด้วย ทาง UOB ประเทศไทยจึงกำหนดบทบาทของ UOB FinLab ให้เป็นผู้สร้าง Ecosystem สําหรับเมืองไทย
“มีคนใช้คำว่า Ecosystem กันเยอะ ส่วนตัวผมคิดว่าเราต้องดูว่าจะใช้ในมุมไหน เมื่อเราเป็น Regional แบงค์ จุดแข็งของเราคือเรามี Network ที่เป็น Regional แต่จุดอ่อนของเราคือเราไม่ได้มี Network ที่แข็งแกร่งในเมืองไทย ดังนั้น FinLab ของเราจึงเน้นช่วยบริษัทเล็ก ๆ หรือ Tech Startup ที่เพิ่งเกิดใหม่ หรือจะเป็น SMEs ที่อยากจะเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีแต่ไม่รู้จะนำไปใช้กับอะไร Lab ของเราจะเป็นแหล่งความรู้ ให้คำแนะนำและช่วยดูแลให้เกิดSolution ที่แท้จริง และเมื่อรวมกันได้ ก็จะเกิดการ Transform ไปสู่ยุคดิจิทัลได้มากขึ้น”
บัลลังก์อธิบายว่า ที่ต้องกำหนดให้เป็น Ecosystem เพราะถ้าเราไม่มีจุดนี้ ทุกอย่างจะถูกครอบงำโดยบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีทั้งเครื่องมือ เงินทุนและทรัพยากร บริษัทเล็ก ๆ ที่เกิดมาหรือมีไอเดียใหม่ๆ ก็จะไม่มีที่ไป จะหาทุนก็ยาก หรือจะหาใครแนะนําก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เพราะว่าบริษัทใหญ่เขาก็จะทําของเขาเองอยู่แล้ว
เขามองว่า ถ้าปล่อยให้บริษัทใหญ่ ๆ เป็นตัว Dominate ก็จะเห็นรูปแบบของเศรษฐกิจแบบเดิมๆ บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์เมืองไทยส่วนมากจะเป็น Traditional ทั้งนั้น ในขณะที่สหรัฐอเมริกาหรือยุโรปมีบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เกิดขึ้นมาก แต่เราไม่เคยเห็นบริษัทในเมืองไทยที่เป็น Tech Company เลย
“ถ้าเราปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป เราก็จะสู้เขาไม่ได้ เราจะไม่มี (ธุรกิจสตาร์ตอัพระดับ) ยูนิคอร์นสักตัวหนึ่ง เราไม่ได้บอกว่าเราสร้างยูนิคอร์นได้ แต่อย่างน้อยเราเพิ่มโอกาสในการที่จะมียูนิคอร์น”
โครงการของ UOB FinLab จะแตกต่างจากที่อื่น เนื่องจาก UOB เป็นธนาคาร จึงกำหนดเงื่อนไขว่าคนที่จะมาร่วมในโครงการจะต้องมี Business Model ที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้และสามารถหาลูกค้าเพื่อขายของได้จริงด้วย ไม่ใช่ว่ามีไอเดียดีมาก ประกวดได้รางวัลแต่กลับขายของไม่ได้ โดย UOB จะเชื่อมกลับไปหาลูกค้าให้ด้วย เพราะมี Problem Statement ซึ่งธนาคารได้จากลูกค้าที่เป็น Corporate ใหญ่ ๆ ที่สามารถนำ Tech Solution นั้นไปใช้ได้
“โครงการเรามีความต่างกับโครงการอื่น ๆ คือ นอกจากจะทําให้เกิดธุรกิจขึ้นได้แล้ว ทําให้ขายของได้แล้ว ยังเปิดตลาดให้ด้วย และไม่ใช่แค่ตลาดเมืองไทย แต่จะเชื่อมไปยังตลาด Regional ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนามหรือมาเลเซียที่เรามีธนาคารอยู่”
เน้น Green Technology และความยั่งยืน
Technology Solution ภายใต้ UOB FinLab จะเน้นเรื่องความยั่งยืน UOB FinLab เริ่มมาตั้งแต่ก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจุบันดำเนินการมาแล้ว 5 ปี มีคนเข้าร่วมโครงการจำนวน 5,000 ราย ในจำนวนนี้มี 1,000 คนหรือ 20% ที่สามารถนำ Tech Solution ไปใช้งานได้จริง
โปรแกรมหลัก ๆ ของ FinLab มีด้วยกัน 2 โครงการ โปรแกรมแรกคือ Sustainability Innovation Programme หรือ SIP แต่ละปีก็จะมีธีมที่ต่างกันไป เนื่องจากธีมใหญ่ของ UOB คือเรื่อง Sustainability และมีการเปิดตัว Green Compass หรือเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วยการทำแบบประเมินออนไลน์เพื่อช่วยบริษัทเล็กๆ ที่อยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจกรีนแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือไม่รู้ว่าควรจะเริ่มทำเมื่อไหร่
“เราพัฒนา UOB Sustainability Compass ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ประกอบการประเมินตัวเองผ่านแบบสอบถามซึ่งทําร่วมกับ PwC ประเทศไทย เพื่อดูว่าตัวเองอยู่ตรงเฟสไหนแล้ว อะไรคือปัญหาของตัวเอง และต้องแก้ปัญหาตรงไหน”
SIP ประกอบด้วย 3 โมดูลหลัก ผู้ร่วมโครงการจะได้รับการสอนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร การประเมินว่าตัวเองอยู่ตรงไหนและการนำไปใช้จริง โปรแกรม SIP ซึ่งจบไปแล้วมีคนร่วมโครงการ 270 ราย มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 70 คน
SIP ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรในหลายอุตสาหกรรม เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), PwC ประเทศไทย, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
โปรแกรมที่ 2 คือ Greentech Accelerator หรือ GTA ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ เป็นระดับ Regional โดยเราจะนำ Problem Statement ที่ได้จากลูกค้าที่มาปรึกษา มาเป็นตัวตั้งว่าปัญหาที่เจอคืออะไรบ้าง แล้วก็ให้ผู้ร่วมโครงการแข่งกันหา Tech Solution มาแก้ปัญหานั้น ๆ
“ปัญหาอย่างหนึ่งของเมืองไทยคือ จริง ๆ เรามีนวัตกรรมมากมาย แต่จะทำอย่างไรให้ไอเดียทางธุรกิจนั้นกลายเป็นโมเดลทางธุรกิจได้ เพราะบางครั้งขายลําบากหรือเกิดขึ้นไม่ได้ไม่ว่าไอเดียจะดีเพียงใด ซึ่ง GTA สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ โดยเราจะบอกว่าปัญหาคืออะไร Tech Solution ที่จะแก้เป็นอย่างไร”
ทาง FinLab มีการคัดเลือกผู้ร่วมโครงการ 12 รายมาอบรมให้ความรู้ จัดเวิร์คชอป รวมถึงวิดีโอคอลไปที่สิงคโปร์ด้วย จากนั้นก็คัดเลือกผู้ชนะที่เราคิดว่า Business Idea นั้นมีโอกาสไปได้ และส่งไปโชว์เคสที่งาน Fintech Festival ที่สิงคโปร์
คนชนะมีโอกาสที่จะไปต่อยอดการขายในที่อื่น และที่แน่ ๆ มีคนรอใช้ Solution อยู่แล้ว เพราะเขามีปัญหาอยู่ ถ้า Solution ดีเขาเอาไปใช้ต่อแน่นอน สำหรับคนที่พลาดการคัดเลือก ถ้าบริษัทใหญ่ ๆ คิดว่า Solution นั้นแก้ปัญหาได้ เขาก็สามารถเลือกไปเวิร์คกันต่อได้
“จุดแข็งของเราคือหลังจากที่เข้ามาร่วมโครงการเราแล้ว นอกจากจะได้ความรู้ ได้ Network ได้รู้ว่า Step ถัดไปจะต้องทําอย่างไร คือเขาขายของได้แน่ โอกาสในการขายมากขึ้น โอกาสในการทําตลาดมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าเราจะมีความแตกต่าง”
ฝันอยากมีส่วนสร้างสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น
บัลลังก์ตั้งเป้าหมายว่า อยากให้เด็กที่จบใหม่ หรือ Startup หรือ SMEs ไม่ได้นึกถึง UOB ว่าเป็นแค่ธนาคารสำหรับการกู้เงินหรือฝากเงินอย่างเดียว แต่อยากให้มองว่าเป็นสถาบันที่นึกถึงเวลาจะเริ่มทำธุรกิจหรือมีไอเดียใหม่ๆ แล้วให้มาหาเรา มาดูว่า FinLab จะสามารถช่วยพวกเขาได้อย่างไร
“และที่สําคัญถ้ามีโอกาส ฝันอยากจะมียูนิคอร์นสักหนึ่งตัวในเมืองไทยโดยที่เรามีส่วนร่วมในการทำให้เกิดด้วย ถ้าเราอยู่ในจุดที่เราสามารถช่วยได้ เพื่อทําให้ระบบเศรษฐกิจเมืองไทยก้าวสู่ดิจิทัลให้ได้”
นอกจากการรับผิดชอบ FinLab แล้ว หน้าที่อีกอย่างของบัลลังก์คือการพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อทําให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายมากขึ้น การที่ UOB มีสาขาไม่มากเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นหรือมีเพียง 144 สาขา ความเป็นดิจิทัลจะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล
กระบวนการการทำงานหลาย ๆ อย่างที่เราได้พบเจอจากการที่เรามี FinLab ทำให้เราได้เห็นเทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่สามารถนำไปใช้กับลูกค้าหรือไปใช้ตอบคําถามของบริษัทใหญ่ ๆ และบางครั้งเราเจอเทคโนโลยีหรือ Solution ดี ๆ เราก็สามารถเอามาใช้กับธนาคารเราได้ด้วย หรือเราสามารถเรียนรู้จากตรงนั้น เช่น ระบบ Peer-to-Peer Lending ที่ไม่ต้องใช้คนกลางอย่างธนาคารแล้ว เราควรจะต้องปรับตัวอย่างไร หรือทำไมลูกค้ายังต้องเดินทางมาที่สาขาเพื่อยื่นใบสมัคร หรือจะสมัครสินเชื่อรถยนต์ทำไมต้องไปถ่ายรูปรถยนต์ทั้งๆ ที่สามารถใช้กล้องมือถือถ่ายภาพส่งมาได้
สำหรับบัลลังก์แล้ว คำว่า Digitalisation ไม่ใช่แค่เรื่องของกระบวนการ เพราะนั่นคือการ Transform ธรรมดาแต่ Digitalisation คือการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล ทำให้กระบวนการทุกอย่างเร็วขึ้นและง่ายขึ้น
“สิ่งที่สําคัญคือเราจะทําอย่างไรให้ Touch Point (ช่องทางที่ลูกค้าสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์หรือธุรกิจ) น่าประทับใจ ทําให้ Journey ของลูกค้ามีความ Smooth และสบายที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบก็ตาม”