ปี 2025 เป็นอีกครั้งที่โลกได้ประจักษ์ถึงแรงสั่นสะเทือนของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ระลอกใหม่ที่ทรงพลังขึ้นอย่างก้าวกระโดด การมาถึงของโมเดลภาษายุคใหม่ได้จุดประกายความตื่นเต้นและความท้าทายไปพร้อมกัน ท่ามกลางสมรภูมิที่ดุเดือดของเหล่าเทคยักษ์ใหญ่ คำถามสำคัญจึงย้อนกลับมาที่เรา: ปัญญาประดิษฐ์ไทยจะก้าวต่อไปในทิศทางใด?
ในเวทีเสวนา AIEAT Talk หัวข้อ The Next Level of AI ประเด็นนี้ได้ถูกถอดรหัสผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของวงการ นำโดย ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร CEO จาก iApp Technology และ สถาพน พัฒนะคูหา CEO จาก Guardian AI Lab ซึ่งได้ทำให้เห็นภาพภูมิทัศน์ที่กำลังเปลี่ยนไป พร้อมชี้ทางรอดและโอกาสของประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจ
เมื่อ AI ฉลาดขึ้นแต่กลับถูกใจน้อยลง: จุดเปลี่ยนสู่มิติของรสนิยม
ปรากฏการณ์แรกที่น่าขบคิดจากการมาถึงของ AI รุ่นล่าสุด คือบุคลิกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะพิสูจน์ได้ว่ามีความสามารถในการให้เหตุผลหรือ Reasoning ที่สูงขึ้นมาก แต่กลับสร้างความรู้สึกที่เสียงแตกอย่างชัดเจนในหมู่ผู้ใช้งาน แตกต่างจากการเปิดตัวครั้งก่อน ๆ ที่มักจะสร้างความฮือฮาในเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่
สถาพน วิเคราะห์ว่านี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งการวัดผล AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประสิทธิภาพเชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่ได้ขยับเข้าสู่มิติของรสนิยมและความรู้สึกส่วนบุคคลอย่างเต็มตัว
ประเด็นนี้แบ่งผู้ใช้ออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน กลุ่มหนึ่งชื่นชอบในความตรงไปตรงมา ไม่เวิ่นเว้ออ้อมค้อมของ AI รุ่นใหม่ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกลับโหยหาความรู้สึกเหมือนได้คุยกับเพื่อนในเซฟโซนของโมเดลรุ่นก่อน ที่พร้อมจะเยินยอ ให้กำลังใจ และไม่ตัดสินแม้ผู้ใช้จะถามคำถามที่ไม่ฉลาดนักก็ตาม ความรู้สึกเหมือนเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปนี้รุนแรงขึ้นจากการที่ผู้ให้บริการเลือกที่จะตัดโมเดลเดิมออกไปโดยไม่มีทางให้ย้อนกลับหรือ No Rollback หรือ ไม่สามารถย้อนสถานะกลับไปเป็นเวอร์ชันก่อนหน้าได้ ซึ่งสะท้อนถึงพลวัตของอุตสาหกรรมที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ในขณะเดียวกัน ดร.กอบกฤตย์ ให้มุมมองเชิงกลยุทธ์ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือความพยายามของ OpenAI ที่จะรวม AI สายตอบเร็วและสายคิดวิเคราะห์เข้าด้วยกัน เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนักพัฒนาที่คู่แข่งอย่าง Anthropic (Claude) ทำได้ดีกว่าในขณะนั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือ AI ที่มีบุคลิกเหมือนนักวิชาการที่แม่นยำและจริงจังมากกว่าเพื่อนรู้ใจที่คอยเอาอกเอาใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้จำนวนมากต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
สมรภูมิโลก: จากผู้ช่วยตอบแชต สู่ผู้จัดการปัญหา
หัวใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลก AI ขณะนี้คือการที่เทคโนโลยีกำลังวิวัฒนาการจากแชตบอทซึ่งถูกปรับแต่งให้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ไปสู่ Reasoning Model ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเองอย่างอัตโนมัติ
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ยกระดับสนามแข่งขันให้กลายเป็นสังเวียนของยักษ์ใหญ่ ที่แต่ละค่ายต่างกำลังสร้างเส้นทางของตนเองอย่างชัดเจน ขณะที่ OpenAI กำลังต่อสู้เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำ และ Google ใช้ความได้เปรียบด้านฮาร์ดแวร์เพื่อครองตลาดองค์กรด้วยโมเดล Gemini
ผู้เล่นรายอื่นก็ประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดเฉพาะทาง เช่น Anthropic ที่สร้างกำไรมหาศาลจากกลุ่มนักพัฒนาด้วยโมเดล Claude หรือในอีกทางหนึ่ง xAI ก็เลือกที่จะแตกต่างด้วยการนำเสนอ Grok ที่มีบุคลิกจัดจ้านและไร้ข้อจำกัด ในขณะเดียวกัน Meta ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้าน Open Source ก็ถูกจับตามองในฐานะม้ามืดที่อาจเปลี่ยนทิศทางมาสู่โมเดลปิดในอนาคต
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยีที่น่าสนใจ เพราะในขณะที่ค่ายตะวันตกเริ่มหวงแหนเทคโนโลยีของตน จีนกลับก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในโลก Open Source และทยอยปล่อยโมเดลคุณภาพสูงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่องว่างทางเทคโนโลยีระหว่างโมเดลเปิดและโมเดลปิดแคบลงไปทุกที และยังมี Apple ที่เลือกจะเดินอีกเส้นทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง โดยชูเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน
ยุทธศาสตร์ไทย: เมื่อสร้างสู้ไม่ได้ก็ต้องใช้ให้เป็นเลิศ
เมื่อภาพการแข่งขันระดับโลกชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ของทุนมหาศาลและองค์ความรู้ที่สั่งสมมานาน การยอมรับความจริงคือจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุดสำหรับประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญในวงเสวนาเห็นตรงกันว่า การทุ่มทรัพยากรเพื่อสร้าง Foundation Model แข่งกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกนั้นเป็นไปได้ยากและอาจไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของไทยจึงเกิดจากการเปลี่ยนจุดยืนอย่างมีนัยสำคัญ จากการเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีไปสู่การเป็นผู้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดคุณค่าสูงสุดหรือ Excellence in Application ซึ่งนี่คือมหาสมุทรสีครามหรือ Blue Ocean หัวใจสำคัญคือการนำโมเดล AI ที่มีอยู่แล้ว มาสร้างคุณค่าใหม่โดยการผนวกเข้ากับบริบทของประเทศไทยหรือ Local Context ซึ่งเป็นสิ่งที่โมเดลระดับโลกยังขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
โดยแนวทางการประยุกต์ใช้นั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่วิธีที่เข้าถึงง่ายที่สุดอย่างการใช้เทคนิค RAG หรือ Retrieval-Augmented Generation เพื่อนำข้อมูลเฉพาะทางของไทยไม่ว่าจะเป็นข้อกฎหมายหรือองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาป้อนให้ AI เรียนรู้ ไปจนถึงแนวทางที่ซับซ้อนขึ้นอย่างการทำ Fine-tuning เพื่อปรับจูนโมเดลให้เข้าใจและตอบสนองในเรื่องนั้น ๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
สถาพน ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในอุตสาหกรรมที่ยังไม่ถูกยกระดับมานาน เช่น ภาคการเกษตรและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีช่องว่างมหาศาลให้ AI เข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างก้าวกระโดดหรือ Productivity Jump ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ ด้านสุขภาพและอาหาร ก็เป็นอุตสาหกรรมเรือธงที่ไทยมีศักยภาพในการสร้างโซลูชันที่สามารถขยายผลไปสู่ตลาดโลกได้
อาวุธลับในมือ: ความรู้เฉพาะทางและขุมทรัพย์ข้อมูล
ในยุคที่ AI สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ทั่วไปหรือ General Knowledge ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว สนามแข่งขันที่แท้จริงได้ย้ายจาก การมีข้อมูลไปสู่การมีความเข้าใจเชิงลึก อาวุธลับที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศไทยและผู้ประกอบการไทยจึงไม่ใช่เทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่เป็นสินทรัพย์สองสิ่งที่จับต้องได้ยากและลอกเลียนแบบไม่ได้
อาวุธชิ้นแรกคือ Domain Knowledge หรือความรู้เชิงลึกที่สั่งสมอยู่ในตัวบุคลากรผู้มีประสบการณ์ สถาพนให้ภาพไว้อย่างคมคายว่า สิ่งที่ AI ไม่มีคือความรู้ทางธุรกิจที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งสั่งสมมา 20 ปี AI อาจรู้ข้อมูลกว้าง ๆ แต่ไม่มีทางรู้ลึกถึงขั้นว่าคู่ค้าคนนี้ชอบอะไร หรือจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางธุรกิจอย่างไร
ปรากฏการณ์นี้กำลังพลิกโฉมตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ ตำแหน่งงานระดับจูเนียร์ที่เน้นการทำงานซ้ำ ๆ กำลังถูกแทนที่ด้วย AI ในขณะที่บุคลากรอาวุโสที่ผู้บริหารไว้ใจและมีองค์ความรู้ลึกซึ้งในอุตสาหกรรมของตนกลับมีคุณค่าสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด พวกเขาสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมพลังหรือ Augment หรือเปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวระดับอัจฉริยะที่ช่วยจัดการงานทั่วไป ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและสร้างคุณค่าที่สูงขึ้นได้
อาวุธชิ้นที่สองคือ Proprietary Data หรือข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ขององค์กร ซึ่งเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่รอการค้นพบ ดร.กอบกฤตย์ได้อธิบายถึงพลังของข้อมูลโดยอ้างอิงแนวคิดจาก Yann LeCun บิดาแห่ง AI ว่า ในอนาคตผู้ที่มีข้อมูลที่คนอื่นไม่มี จะเป็นผู้ชนะ
แนวคิดนี้ท้าทายกระแส Open Data โดยชี้ว่าการเปิดข้อมูลทั้งหมดอาจทำให้ความได้เปรียบของเรากระจายไปสู่โมเดลทั่วโลกและหมดไปในที่สุด ในทางกลับกันการมีข้อมูลที่เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียวหรือ Close Data แล้วนำมาผนวกกับ AI จะเปรียบเสมือนการสร้างคูเมืองหรือ Moat ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและยากต่อการโจมตี ข้อมูลการดำเนินงาน ข้อมูลลูกค้า หรือข้อมูลการผลิตที่องค์กรของคุณเก็บรวบรวมไว้หลายปี คือวัตถุดิบชั้นเลิศในการสร้าง AI เฉพาะทางที่ไม่มีคู่แข่งรายใดสามารถสร้างตามได้
ดังนั้น สูตรสำเร็จของไทยจึงไม่ใช่แค่การนำ AI มาใช้ แต่เป็นการผสมผสานระหว่างบุคลากรผู้มีประสบการณ์ ข้อมูลเฉพาะทาง และเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างโซลูชันที่มีเอกลักษณ์และมีคุณค่าสูง จนสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ถึงเวลาเปลี่ยนพลังให้เป็นผลลัพธ์
บทสรุปจากเวทีเสวนาครั้งนี้ไม่ได้จบลงที่การวิเคราะห์ แต่เป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและโอกาสสำหรับประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญได้ส่งสารที่ชัดเจนว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาของการตั้งคำถามหรือความลังเลอีกต่อไป แต่คือจังหวะที่สุกงอมที่สุดที่จะลงมือทำ
ดร.กอบกฤตย์ ยืนยันว่าอุปสรรคทางเทคโนโลยีที่เคยเป็นกำแพงขวางกั้นนั้นได้ทลายลงแล้ว เทคโนโลยีพร้อม และเครื่องมือในการพัฒนาได้ทำให้การสร้างสรรค์นวัตกรรมกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย
“นี่คือสัญญาณที่บอกว่าข้ออ้างของการรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะทำได้เมื่อไหร่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะเริ่มทำเมื่อไหร่”
ในขณะที่ สถาพนได้มอบมุมมองที่เปลี่ยนวิธีคิดของเราต่อ AI ไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยภาพของผู้ช่วยระดับปริญญาเอกที่ทำงานให้เราได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ในมือของเราทุกคน ทำให้โจทย์ที่ท้าทายที่สุดในวันนี้ไม่ใช่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และความทะเยอทะยาน คำถามสำคัญที่เราต้องตอบคือ
“เราจะใช้พลังอันมหาศาลนี้เพื่อเพียงอำนวยความสะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือเราจะใช้มันเพื่อแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนให้กับธุรกิจ อุตสาหกรรม และประเทศชาติของเรา”
ดังนั้น นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนศักยภาพให้กลายเป็นความจริง ถึงเวลาเปลี่ยนความรู้ที่สั่งสมในตัวผู้เชี่ยวชาญให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนข้อมูลที่เก็บไว้ในองค์กรให้เป็นความได้เปรียบ และที่สำคัญที่สุดคือ ถึงเวลาเปลี่ยนพลังของปัญญาประดิษฐ์ให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้
การผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐที่พร้อมสนับสนุน เอกชนที่กล้าลงมือทำ และบุคลากรที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้ AI ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามในเวทีโลก แต่เป็นผู้สร้างสรรค์คุณค่าในวิถีของตนเอง และก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคได้อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จาก IoT สู่ AIoT: การเดินทาง 10 ปี NETPIE ต่อยอดสู่แพลตฟอร์ม Daysie
จากไร่อ้อยถึงอวกาศ: เมื่อ AI คือ ‘ทางรอด’ ไม่ใช่ทางเลือกของอุตสาหกรรมไทย