Share on
×

Share

เปิดผลลัพธ์รูปธรรม SeaChange 2030: กลยุทธ์ความยั่งยืนจากไทยยูเนี่ยน

ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำลังขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange 2030 ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวที่มุ่งบูรณาการความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเข้ากับรูปแบบธุรกิจ

ความคืบหน้าล่าสุดได้อัปเดตโครงการที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบปลาทูน่า การพัฒนานวัตกรรมฟาร์มกุ้งคาร์บอนต่ำ ไปจนถึงการได้รับการสนับสนุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอย่าง ‘สินเชื่อสีน้ำเงิน’ (Blue Loan) ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงทิศทางของบริษัทในปัจจุบันและอนาคต

ปราชญ์ เกิดไพโรจน์ ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน ธุรกิจ Pet, Feed และ Marine Ingredient บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารทะเลจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความรับผิดชอบร่วมกันตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เจ้าของเรือประมง เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง ผู้ผลิตในโรงงาน ไปจนถึงชุมชนโดยรอบ

กลยุทธ์ SeaChange 2030

กลยุทธ์ SeaChange 2030 ถูกนำเสนอในฐานะแผนงานที่บริษัทตั้งเป้าหมายเพื่อ “พลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเล” ให้เป็นมิตรต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

โดยมีโครงสร้างบน 2 ส่วนงานหลักที่ครอบคลุม 5 มิติที่เชื่อมโยงกัน ในส่วนของ ด้านผู้คน (People) จะเน้นเรื่อง สิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชน เพื่อดูแลแรงงานในห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับสุขภาพและโภชนาการ ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าต่อผู้บริโภค

ขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) จะให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นการจัดการความเสี่ยงด้านการประมงเกินขนาดและการปกป้องระบบนิเวศทางทะเลที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจ และเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างการใช้น้ำและการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์

การดำเนินงานตามกลยุทธ์นี้อยู่ภายใต้กรอบของ พันธกิจรวม 11 ประการ (11 Commitments) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ตั้งแต่การสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ไปถึงฟาร์มหรือเรือประมง การดูแลแรงงานให้มีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นธรรม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในและนอกโรงงาน ไปจนถึงการตั้งเป้าลดขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์

‘วรรณสิงห์-ไทยยูเนี่ยน’ ชี้ขยะทะเลต้องแก้ที่ ‘กฎหมาย’ ไม่ใช่ ‘จิตสำนึก’

ความคืบหน้าของโครงการสำคัญ

ปราชญ์  ได้อัปเดตความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ โดยเน้นที่ตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ อาทิ

  • ด้านการจัดการทรัพยากรปลาทูน่า บริษัทยังคงเป้าหมายการจัดหาวัตถุดิบปลาทูน่า 100% ภายในสิ้นปี 2568 (2025) จากสองแหล่งหลัก คือ แหล่งประมงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล Marine Stewardship Council (MSC) และแหล่งประมงที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานในโครงการพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Projects – FIPs) ซึ่งแนวทางนี้ครอบคลุมทั้งการจัดหาจากแหล่งที่ยั่งยืนอยู่แล้ว และการสนับสนุนแหล่งประมงอื่นให้ปรับปรุงแนวปฏิบัติ
  • ด้านความโปร่งใส บริษัทตั้งเป้าหมายให้เรือประมงทูน่าทุกลำต้องมีระบบตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมีผู้สังเกตการณ์บนเรือภายในปี 2568 เช่นกัน โดยระบุว่ากลไกนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำหน้าที่เป็น ‘ตาที่สาม’ ในการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบการทำประมง บริษัทรายงานว่าปัจจุบันเป้าหมายนี้มีความคืบหน้าไปแล้ว 97%
  • ด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และเศรษฐกิจหมุนเวียน อีกหนึ่งตัวอย่างที่ถูกหยิบยกคือการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ John West เพื่อลดการใช้พลาสติก จากเดิมที่บรรจุภัณฑ์ทูน่ากระป๋องชนิดแพ็กหลายใบในแนวตั้งต้องใช้ฟิล์มพลาสติกห่อหุ้ม (Shrink wrap) บริษัทได้นำนวัตกรรม ‘Eco-Twist’ ที่ใช้เทคโนโลยี ‘Smart Strip’ ซึ่งเป็นแถบโลหะมายึดกระป๋องเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้บริโภคสามารถบิดกระป๋องเพื่อแยกออกจากแพ็กได้โดยตรง บริษัทรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้สามารถลดการใช้ฟิล์มพลาสติกลงได้ประมาณ 400 ตันต่อปี

โครงการฟาร์มกุ้งคาร์บอนต่ำ

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่สะท้อนการดำเนินงานของกลยุทธ์ SeaChange 2030 โดยเป็นการทำงานร่วมกับองค์กร The Nature Conservancy และลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ต้องการสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีคาร์บอนต่ำ โครงการเริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อนโดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่สูงในกระบวนการเลี้ยงกุ้ง และปัจจุบันได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมผ่านแนวทางปฏิบัติ 3 ด้านหลัก ดังนี้

  1. การจัดการพลังงานและลดความเสี่ยง เพื่อแก้ปัญหาการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากจากเครื่องเติมอากาศซึ่งเป็นต้นทุนหลักของฟาร์ม โครงการได้ส่งเสริมการติดตั้ง แผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งให้ประโยชน์สองด้าน คือ ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการพึ่งพาโครงข่ายหลัก และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่เกษตรกร ทำให้ระบบสำคัญอย่างเครื่องเติมอากาศยังคงทำงานได้แม้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับ
  2. การทำฟาร์มแม่นยำด้วยเทคโนโลยี มีการนำระบบฟาร์มอัจฉริยะ Hydroneo เข้ามาใช้เพื่อตรวจวัดค่าสำคัญในบ่อกุ้งแบบเรียลไทม์ เช่น ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (DO) ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) และอุณหภูมิ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถเปลี่ยนจากการเดินเครื่องเติมอากาศตามกำหนดเวลา มาเป็นการบริหารจัดการตามความจำเป็นจริงของสภาพน้ำ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
  3. การเลือกใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืน เนื่องจากอาหารสัตว์เป็นอีกหนึ่งแหล่งปล่อยคาร์บอนที่สำคัญ โดยเฉพาะส่วนผสมอย่างถั่วเหลืองที่อาจมีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่า โครงการจึงมุ่งมั่นเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่สามารถให้การรับรองได้ว่าไม่มาจากพื้นที่บุกรุกป่า

ผลลัพธ์ของโครงการนี้ได้สร้างประโยชน์ในหลายมิติ ตั้งแต่การได้ผลิตภัณฑ์กุ้งที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำลง ซึ่งช่วยสนับสนุนเป้าหมายใหญ่ของไทยยูเนี่ยนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 42% ภายในปี 2573 (2030) การช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนและมีความพร้อมสำหรับอนาคต ไปจนถึงการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าได้รับสินค้าที่มีที่มาที่ไปและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

การสนับสนุนทางการเงินผ่านสินเชื่อสีน้ำเงิน (Blue Loan)

หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนที่ถูกกล่าวถึงคือ สินเชื่อสีน้ำเงิน (Blue Loan) หรือเงินกู้เพื่อความยั่งยืนทางทะเล ที่ไทยยูเนี่ยนได้รับจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,000 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการอนุมัติสินเชื่อประเภทนี้ให้กับบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยเป็นครั้งแรก โดยมีธนาคารพันธมิตรอีก 6 แห่งเข้าร่วมด้วย

สินเชื่อสีน้ำเงินเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมการอนุรักษ์มหาสมุทรและการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน สำหรับไทยยูเนี่ยน เงินทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อขยายผลโครงการต่างๆ ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange 2030 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืน และการยกระดับห่วงโซ่คุณค่าของอาหารทะเลโดยรวม

ปราชญ์ กล่าวว่ากลไกของสินเชื่อประเภทนี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้เงินทุน แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสร้างความรับผิดชอบ โดยการเบิกจ่ายหรืออัตราดอกเบี้ยมักจะเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน (KPIs) ที่ตกลงกันไว้ ซึ่งหมายความว่าบริษัทจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าที่วัดผลได้ในการดำเนินงานตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

ดังนั้น สินเชื่อนี้จึงเป็นมากกว่าแหล่งเงินทุน แต่เป็นข้อผูกมัดที่เชื่อมโยงผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเข้ากับผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรง และเป็นเครื่องยืนยันว่าแนวทางของบริษัทได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินระดับนานาชาติ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียน จากท้องทะเลสู่ชุมชนและนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

จากไร่อ้อยถึงอวกาศ: เมื่อ AI คือ ‘ทางรอด’ ไม่ใช่ทางเลือกของอุตสาหกรรมไทย

×

Share

ผู้เขียน