Share on
×

Share

สวทช. เปิดโผ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568 ชู AI-การแพทย์-พลังงานสะอาด

ส่องอนาคต: สวทช. เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีชี้ชะตาธุรกิจและชีวิตคนไทยในปี 2025

เมื่อโลกกำลังหมุนไปอย่างรวดเร็วด้วยแรงขับเคลื่อนของนวัตกรรมและเทคโนโลยี การเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นหนทางสู่การอยู่รอดและเติบโต ในงาน “Technologies to Watch” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 15 โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนง ผู้อำนวยการสวทช. ได้เปิดเผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศไทยและโลกในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีเพื่อโลกที่ยั่งยืน เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการแพทย์

“เทคโนโลยีที่คัดสรรมาในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงมิติของเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นในโลก แต่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะกระทบประเทศไทยในเวลาอันใกล้” ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวเปิดประเด็น พร้อมย้ำว่านี่คือโอกาสและความท้าทายที่ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และสังคมไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

กลุ่มที่ 1: เทคโนโลยีเพื่อโลกที่ยั่งยืน (Green Technologies)

ในยุคที่ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมกลายเป็นวาระเร่งด่วนของโลก 3 เทคโนโลยีแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาจึงมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและสร้างสมดุลให้กับโลก

1. ไฮโดรเจนสีเทอร์ควอยซ์ (Turquoise Hydrogen): พลังงานสะอาดไร้รอยเท้าคาร์บอน ไฮโดรเจนเป็นก๊าซสำคัญในภาคอุตสาหกรรม แต่กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมมักปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาล “ไฮโดรเจนสีเทอร์ควอยซ์” คือคำตอบของปัญหานี้ โดยเป็นเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซชีวภาพผ่านกระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis) ที่ใช้ความร้อนสูง สิ่งที่แตกต่างคือแทนที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เทคโนโลยีนี้จะแยกคาร์บอนออกมาในรูปแบบของแข็ง (Solid Carbon) หรือผงถ่าน ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นได้อีกต่อหนึ่ง นับเป็นการสร้างพลังงานสะอาดโดยไม่ทิ้งภาระไว้ให้โลก

2. เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ (Green Steel): ปฏิวัติอุตสาหกรรมเหล็ก 600 ปี อุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของโลก (คิดเป็น 7% ของการปล่อยทั้งโลก) และน่าประหลาดใจที่ 70% ของกระบวนการผลิตยังคงใช้เทคโนโลยีที่มีอายุกว่า 600 ปี เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำจะเข้ามาเปลี่ยนเกมโดยสิ้นเชิง ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดและก๊าซไฮโดรเจนมาแทนที่ถ่านโค้กในกระบวนการถลุงเหล็ก ซึ่งสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จาก 2.3 ตันต่อการผลิตเหล็ก 1 ตัน เหลือเพียง 0.2-0.6 ตันเท่านั้น ซึ่งเป็นทิศทางที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกเหล็ก

3. ข้าวลดการปลดปล่อยมีเทน (Low-Methane Rice): เกษตรกรรมไทยใส่ใจโลก ภาคการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าว เป็นแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า แม้การทำนาเปียกสลับแห้งจะช่วยลดมีเทนได้ แต่ไม่เหมาะกับพื้นที่นาส่วนใหญ่ของไทยที่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก นวัตกรรมใหม่จึงมุ่งไปที่การปรับปรุงสายพันธุ์ข้าว โดยใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น Marker-Assisted Selection และ Genome Editing เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ลดการปล่อยสารที่แบคทีเรียใช้สร้างมีเทนโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดก๊าซเรือนกระจกแต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ภาคเกษตรไทยรับมือกฎระเบียบทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

กลุ่มที่ 2: สู่ยุคดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (Digital, AI & Robotics)

เทคโนโลยีดิจิทัลยังคงเป็นคลื่นลูกใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ AI และหุ่นยนต์ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

4. หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid Robots): จากโรงงานสู่บ้านเรือน ภาพหุ่นยนต์ที่เคยเห็นในภาพยนตร์ไซไฟกำลังกลายเป็นความจริง หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์หรือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นลงบันได หรือการหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ เมื่อผนวกเข้ากับ AI ที่ชาญฉลาด หุ่นยนต์เหล่านี้จะมีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ งานรักษาความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งเป็นร่างอวตารของ AI ที่สามารถโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตลาดสำหรับหุ่นยนต์กลุ่มนี้คาดว่าจะเติบโตถึง 50% ต่อปี และมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030

5. AI เอเจนท์ (Agentic AI): ก้าวต่อไปของปัญญาประดิษฐ์ หาก Generative AI อย่าง ChatGPT คือผู้ช่วยที่รอรับคำสั่ง Agentic AI ก็เปรียบเสมือน “เลขานุการส่วนตัว” ที่ได้รับเป้าหมายแล้วสามารถวางแผน ตัดสินใจ และสั่งการ AI ตัวอื่น ๆ ให้ทำงานจนบรรลุเป้าหมายได้เอง เช่น หากเราบอกว่า “อยากทานอาหารอร่อย ๆ” Agentic AI จะสามารถค้นหาร้าน เช็คโต๊ะว่าง หากร้านแรกเต็มก็จะหาร้านอื่นต่อโดยไม่ต้องกลับมาถามซ้ำ นับเป็นวิวัฒนาการขั้นต่อไปของ AI ที่จะทำงานซับซ้อนและเป็นอิสระมากขึ้น

6. การเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography – PQC): เกราะป้องกันข้อมูลแห่งอนาคต คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตมีศักยภาพในการทำลายระบบเข้ารหัสข้อมูลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างมหาศาล PQC คือเทคโนโลยีการเข้ารหัสแบบใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทนทานต่อการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมโดยเฉพาะ นี่คือการเตรียมความพร้อมเชิงรุกเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับโลกดิจิทัลในระยะยาว ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาเพื่อเป็น “ผู้สร้าง” ไม่ใช่เพียง “ผู้ซื้อ” เทคโนโลยี

กลุ่มที่ 3: ปฏิวัติวงการแพทย์และสุขภาพ (Health & Wellness)

เทคโนโลยีสุดท้ายมุ่งเน้นไปที่การยกระดับคุณภาพชีวิต การป้องกัน และการรักษาโรค ด้วยนวัตกรรมที่ลงลึกถึงระดับเซลล์

7. อุปกรณ์อัจฉริยะฝังในร่างกาย (Smart Implants): มอนิเตอร์สุขภาพจากภายใน ก้าวข้าม Smartwatch ไปอีกขั้นกับอุปกรณ์เซ็นเซอร์ขนาดจิ๋วที่สามารถฝังเข้าไปในร่างกายเพื่อตรวจวัดค่าต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไปจนถึงการส่งสัญญาณไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะ เช่น สมองของผู้ป่วยพาร์กินสัน หรือหัวใจ เทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ทำให้แพทย์และผู้ป่วยมีข้อมูลในการวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง

8. เอพิเจเนติกส์ (Epigenetics): ถอดรหัส “อายุร่างกาย” ที่แท้จริง “อายุตามปฏิทิน” อาจไม่ตรงกับ “อายุของเซลล์” ในร่างกายเสมอไป เทคโนโลยีเอพิเจเนติกส์สามารถตรวจลึกถึงระดับ DNA เพื่อวิเคราะห์การเสื่อมสภาพของเซลล์และประเมินอายุชีวภาพของอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ หรือหลอดเลือดได้ ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้อย่างตรงจุด เพื่อชะลอความเสื่อมและมีสุขภาพที่แข็งแรงยืนยาวยิ่งขึ้น

9. เวชสำอางชะลอวัย (Longevity Cosmetics): ความงามจากรากฐานระดับเซลล์ เครื่องสำอางในอนาคตจะไม่ใช่แค่การบำรุงผิวเผิน แต่จะมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของความชราในระดับเซลล์ โดยอาศัยความเข้าใจใน 12 กลไกหลักที่ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ เพื่อพัฒนาสารออกฤทธิ์ที่ช่วยฟื้นฟูและยืดอายุของเซลล์ผิวได้อย่างแท้จริง ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

10. แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody): อาวุธใหม่พิชิตมะเร็งและโรคร้าย นี่คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการรักษามะเร็งและโรคติดเชื้อ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ออกแบบแอนติบอดี (โปรตีนภูมิคุ้มกัน) ที่มีลักษณะเหมือนตัว “Y” ให้มีสองแขนที่ทำงานต่างกัน แขนข้างหนึ่งจะถูกออกแบบมาให้จับกับเซลล์มะเร็งหรือเชื้อโรคโดยเฉพาะ ส่วนอีกแขนหนึ่งจะไปจับกับทีเซลล์ (T-Cell) ซึ่งเป็นเซลล์เพชฌฆาตของร่างกาย แอนติบอดีนี้จึงทำหน้าที่เหมือนแม่สื่อที่นำพานักฆ่ามาเจอกับเป้าหมายโดยตรง ทำให้การรักษาแม่นยำ มีประสิทธิภาพสูง และลดผลข้างเคียงได้อย่างมาก

การเปิดโผ 10 เทคโนโลยีในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการทำนายอนาคต แต่เป็นการส่งสัญญาณให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยได้ตื่นตัวและเตรียมความพร้อม เพื่อที่จะสามารถคว้าโอกาสจากคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไว้ได้ แทนที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกที่หมุนไปไม่เคยรอใคร

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไม่ใช่เรื่องอนาคต: ‘ควอนตัมคอมพิวเตอร์’ ขุมพลังใหม่ที่กำลังพลิกโฉมธุรกิจและ AI

สวทช. เผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2567

×

Share

ผู้เขียน