ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังขับเคลื่อนโลกด้วยมูลค่าผลกระทบมหาศาลกว่า 15.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เล่นหลัก ประเทศไทยกำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของตนเอง คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ “เราจะใช้ AI อย่างไร” แต่คือ “เราจะมีจุดยืนตรงไหนในสมรภูมินี้” นี่คือจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการจัดตั้ง “AI Thailand Hub” ศูนย์กลางนวัตกรรมและองค์ความรู้ที่จะพลิกโฉมประเทศไทยจากการเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี สู่การเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม AI ระดับโลก
ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การลงนามในกระดาษ แต่เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน ตั้งแต่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ไปจนถึงหน่วยงานวิจัยระดับประเทศอย่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และสถาบันการศึกษาชั้นนำอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก “ผู้ตาม” สู่ “ผู้นำ”: เปลี่ยนกระดานสู้ในสมรภูมิ AI
“วันนี้เราไม่ได้กำลังสู้กับ AI แต่เรากำลังสู้กับคนที่สร้าง AI ไม่ได้ต่างหาก” ศาสตราจารย์ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนหัวใจของภารกิจครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน
การเป็นเพียงผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ AI จากต่างประเทศ ไม่เพียงแต่ทำให้เสียเปรียบในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึงการยอมจำนนต่ออนาคตที่ผู้อื่นเป็นผู้กำหนด ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่และทำให้หลายอาชีพต้องหายไป แต่ความจริงที่น่ากังวลกว่าคือการที่เราไม่มีความสามารถในการสร้างและควบคุมเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลก
ภารกิจของ AI Thailand Hub จึงตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “นวัตกรมาก่อนนวัตกรรมเสมอ” บทบาทของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยไทยจะไม่ใช่แค่การสอนวิธีใช้ AI แต่คือการสร้างคนที่สามารถสร้าง AI ได้ แต่ต้องเปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้บริโภคเทคโนโลยี ไปสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์นวักรรมด้วยตนเอง
ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง “อำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยี” (Technological Sovereignty) ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพนี้แล้วด้วยการพัฒนา Generative AI ของตัวเองขึ้นมา และมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่อยากเห็นเทคโนโลยี AI ที่สร้างโดยคนไทยมีคุณภาพสูงจนสามารถดึงดูดให้คนต่างชาติต้องเดินทางมาใช้บริการ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะพลิกบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกและนำเม็ดเงินเข้าประเทศ แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาและศักยภาพของคนไทยให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างยั่งยืน การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ประเทศไทยไม่เพียงแค่เดินตาม แต่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสมรภูมิ AI ได้ในที่สุด
สองศูนย์แห่งความเป็นเลิศเพื่อวางรากฐานอนาคต
ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ ลิมปิจำงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติไม่ได้เริ่มต้นจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหญ่โตที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล แต่เป็นการเริ่มต้นจากการรวมตัวของผู้รู้และผู้เล่นในวงการ เพื่อระดมสมอง วางยุทธศาสตร์ และทำงานร่วมกันอย่างมีเป้าหมาย โดยในช่วงแรกจะมุ่งเน้นไปที่การจัดตั้ง ศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence) 2 แห่ง ที่เปรียบเสมือนเสาหลักในการวางรากฐานอนาคต AI ของประเทศ
ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา (ครู AI): นี่คือความกล้าที่จะปฏิวัติระบบการศึกษาไทย เพื่อทลายกำแพงความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาข้อจำกัดของครูผู้สอนในปัจจุบัน ศูนย์นี้จะทำหน้าที่พัฒนา AI ให้เป็นเครื่องมือช่วยครูในการวัดผลและออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน (Personalized Learning) ลองนึกภาพนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่สามารถเข้าถึงเนื้อหาและแบบฝึกหัดที่ปรับตามระดับความเข้าใจของตนเองได้ ไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่โรงเรียนใด ก็สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพทัดเทียมกับโรงเรียนชั้นนำในเมืองหลวงได้ เป้าหมายคือการสร้างอนาคตที่การศึกษาของไทยมีคุณภาพสูงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ
ศูนย์รับรองมาตรฐาน AI: ความท้าทายสำคัญของการนำ AI มาใช้ในวงกว้าง โดยเฉพาะในวงการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยอย่างการแพทย์ คือการขาดมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง อย. ไม่สามารถขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ AI ได้ เนื่องจากไม่มีเกณฑ์ในการประเมินความปลอดภัยและความแม่นยำ ศูนย์แห่งนี้จึงเปรียบเสมือน “สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)” ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ ที่จะทำหน้าที่สร้างเกณฑ์และกระบวนการทดสอบเพื่อรับรองมาตรฐานของ AI ในด้านต่างๆ ทั้งความปลอดภัย ความแม่นยำ และจริยธรรม เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและภาคอุตสาหกรรมสามารถนำเทคโนโลยี AI ไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มศักยภาพและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
การจัดตั้งสองศูนย์นี้จึงไม่ใช่แค่การสร้างหน่วยงานใหม่ แต่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบนิเวศ AI ของไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เป็นการส่งสัญญาณว่าประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน
‘ข้อมูล‘ เชื้อเพลิงสำคัญที่ต้องบริหารจัดการด้วยธรรมาภิบาล
หาก AI คือเครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า “ข้อมูล” ก็เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงคุณภาพสูงที่ขาดไม่ได้ ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สพธอ. ได้เน้นย้ำถึงความท้าทายพื้นฐานที่สุดประการหนึ่ง นั่นคือ AI ระดับโลกส่วนใหญ่ถูกฝึกฝนและพัฒนาขึ้นจากคลังข้อมูลภาษาอังกฤษมหาศาล ในขณะที่ข้อมูลภาษาไทยที่มีคุณภาพและปริมาณมากพอยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก นี่คือจุดอ่อนสำคัญที่อาจทำให้ AI ที่พัฒนาขึ้นไม่เข้าใจบริบททางภาษาและวัฒนธรรมของไทยอย่างลึกซึ้ง
ภารกิจเร่งด่วนจึงไม่ใช่แค่การสร้าง AI แต่คือการสร้างและบริหารจัดการคลังข้อมูลของชาติ ควบคู่ไปกับการวางระบบ “ธรรมาภิบาลข้อมูล” (Data Governance) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยสองมิติสำคัญ:
ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Sharing): เพื่อทลายกำแพงที่ต่างคนต่างเก็บข้อมูลไว้ใช้เพียงหน่วยงานเดียว (Data Silos) จำเป็นต้องสร้างกลไกและเงื่อนไขที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชนได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย การมีข้อมูลที่หลากหลายและครอบคลุมจะทำให้ AI ของไทยมีความฉลาดและรอบรู้มากยิ่งขึ้น
คุ้มครองข้อมูลและป้องกันความลำเอียง (Privacy & Bias Prevention): การเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลต้องดำเนินไปพร้อมกับการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลอย่างสูงสุด ข้อมูลส่วนบุคคลทุกชิ้นจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองและทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนย้อนกลับไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ (Anonymization) เพื่อป้องกันไม่ให้ AI เรียนรู้และเชื่อมโยงข้อมูลกับตัวบุคคล นอกจากนี้ การมีธรรมาภิบาลข้อมูลที่ดียังช่วยป้องกัน “ความลำเอียงของ AI” (AI Bias) ซึ่งเกิดจากการใช้ข้อมูลที่ไม่สมดุลหรือเป็นตัวแทนของคนเพียงกลุ่มเดียว
ทั้งหมดนี้จะดำเนินไปโดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ระบบนิเวศข้อมูลของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ การสร้างคลังข้อมูลของชาติจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นภารกิจเชิงยุทธศาสตร์เพื่อวางรากฐานให้ AI ไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นธรรมสำหรับทุกคนในสังคม
ลดช่องว่าง: จากงานวิจัยบนหิ้งสู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม
ปัญหาคลาสสิกที่ฉุดรั้งการพัฒนาของประเทศไทยมายาวนานคือ “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ซึ่งเป็นผลงานทางวิชาการที่ยอดเยี่ยมแต่กลับไม่ถูกนำไปต่อยอดหรือใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมอย่างที่ควรจะเป็น ความร่วมมือในการจัดตั้ง AI Thailand Hub ในครั้งนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อทลายกำแพงดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ได้ให้มุมมองว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในยุค AI จะต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “งานวิจัยทั้งหมดทางด้าน AI ไม่ใช่งานวิจัยเชิงวิชาการเพื่อเก็บไว้บนหิ้ง แต่เป็นงานวิจัยที่มุ่งผลลัพธ์เพื่อทำให้คุณภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ดังนั้น เป้าหมายของมหาวิทยาลัยคือการสร้าง “นักปฏิบัติ” (Practitioners) ที่มีความรู้ความสามารถพร้อมทำงานได้ทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษา ลดช่องว่างและความกังวลของภาคเอกชนที่ต้องเสียเวลาและทรัพยากรในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ แนวทางนี้สอดคล้องโดยตรงกับแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติในเสาหลักด้าน “ธุรกิจ” (Business) และ “ผู้ใช้งาน” (End User) ที่มุ่งส่งเสริมให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทย และผลักดันให้มีการนำ AI ไปใช้ประโยชน์จริงในภาคเศรษฐกิจเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การศึกษา การเกษตร หรือการท่องเที่ยว
ความร่วมมือครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกวิชาการและโลกธุรกิจ สร้างระบบนิเวศที่องค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยสามารถไหลเวียนไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการจริงในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว นี่คือหัวใจสำคัญของการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สมรภูมิ AI โลก: ไทยจะสู้ด้วยอะไร?
10 ปี NETPIE: จากโปรเจกต์ใต้ดิน สู่พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล