ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ประโยคนี้ จะยังได้รับความนิยมจนเป็นคำฮิตติดปากอยู่หรือเปล่า
รู้อย่างนี้(..หรือ รู้งี้) เป็นคำพูดที่บ่งบอกว่า หากไม่เป็นหรือเป็นในสิ่งที่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คงจะดี
อย่าง “รู้งี้ ! เอาร่มมาดีกว่า” (เพราะไม่ได้เอาร่มมา เลยต้องนั่งรอจนฝนหยุด)
หรือ “รู้งี้ ! ควรจะเชื่อเขา จะได้ไม่พลาด” (แสดงว่าไม่ฟังความเห็นคนอื่นเลย)
เวลาเราใช้คำว่ารู้งี้ นั่นแสดงว่าเราผิดหวัง หรือเราไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น จึงเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สมหวังดังความตั้งใจ
มี 2-3 เหตุการณ์ที่ได้พบมาและคิดว่าเมื่อเราเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้น เราจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า หรือ “รู้งี้..เราจะไม่เป็นแบบนั้นแน่”
เหตุการณ์ที่ 1 เป็นเรื่องที่พบใน FB ของสิริทัศน์ สมเสงี่ยม ที่เล่าถึงคนถูกรางวัลที่ 1 มักจะถูกถามว่า
จะเอาเงินไปทำอะไร
แทบจะทุกคน ตอบเหมือนกันหมด คือเอาไปใช้หนี้ แบ่งให้พ่อแม่ลูกหลาน ข้อสุดท้ายคือทำบุญกับทำธุรกิจ แต่หลายคนกลับมาจนเหมือนเดิม เพราะใช้เงินไปมากกว่าการสร้างเงินใหม่ เพราะไม่ว่าคุณจะถูกโชคมามากแค่ไหน หากไม่สามารถสร้างรายได้ใหม่ขึ้นมา แต่กลับติดนิสัยฟุ่มเฟือย ใช้เงินได้มากกว่าหาเงิน เราจึงเห็นว่าแทบไม่มีคนที่ถูกรางวัลที่หนึ่ง ทำเงิน6ล้าน เป็น6ล้านหนึ่งแสนได้เลย ไม่เห็นมีใคร ทำเงิน12ล้าน เป็น12ล้านหนึ่งแสนได้
มีแต่ได้มา 6 ล้าน ค่อย ๆ เหลือ 5-4-3-2-1 ล้าน จนหมด
นั่นเพราะ คนที่ถูกมีแต่บุญ แต่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ที่จะบริหารเงินเริ่มต้นด้วยการทำเงินที่มีให้ลดลงไม่ได้ทำเงินที่มีให้งอกเงย ก็เลยหมดอีก พูดง่าย ๆ ทำเงินให้งอกเงยไม่ได้ ชาตินี้จะต้อง วิ่งหาเงินทั้งชีวิต
รู้งี้…จะถูกหวย ดีไหม หากเพิ่มมูลค่าไม่ได้
เหตุการณ์ที่ 2 เป็นประสบการณ์ของติ๊ก-สิริทัศน์ สมเสงี่ยม ที่เล่าว่าตนนั้นติดกับดัก ที่ (รู้งี้..) ย้อนเวลากลับได้จะไม่ทำเลย รู้งี้ของติ๊กเกิดจากการเป็นหนี้บ้าน
ติ๊กเล่าว่าบ้าน เป็นอะไรที่…โคตรหนักดูดเงิน ดูดเวลา ดูดสุขภาพ
บ้าน เป็นอะไรที่ เหมือนพันธนาการมัดแขน มัดขา เหมือนติดคุก
บ้านหลังหนึ่ง ต้องผ่อนกันทั้งชีวิตขนาดที่คุณติ๊กว่าตัวเองนั้นมีความพร้อมแต่ต้องเหนื่อยแสนสาหัส จนพบว่า
บ้านที่เป็นทรัพย์สิน คือบ้านที่มีรายได้จากมัน เกินกว่าค่าผ่อน เช่น ผ่อน 10,000 มีคนเช่า 13,000 อันนี้ถึงเรียก…ทรัพย์สิน
ติ๊กเล่าในตอนท้ายว่าบ้าน กับคนไทย เป็นอะไรที่….เจ็บปวดมาก
ฝันของคนอยากมีบ้าน ไกลมากเหนื่อยมาก ลำบากมากทันที ที่เซ็นสัญญากับแบงค์นั่นคือ วันที่คุณเป็นหนี้ทันที่ 20 ปี
หาเงินส่งดอก เท่าตัวเกือบทั้งชีวิต
รู้งี้…เมื่อย้อนเวลาได้ ตื๊กจะเช่าไปก่อนแล้วตั้งใจทำมาหากิน ทำธุรกิจให้สำเร็จแล้ว…ซื้อสด จบสด จะไม่ผ่อน
บ้านสำหรับติ๊กคือต้องเป็นอะไรที่ควรซื้อสด ไม่ควรผ่อน
และวันนี้หลาย ๆ สังคมก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า การเป็นหนี้บ้านเป็นอะไรที่ผูกมัดชีวิต จนดิ้นไม่ได้เลย จึงปฏิเสธการผ่อนบ้าน
เกิดเทรนด์ใหม่ไม่ใช่แบงก์ปฏิเสธสินเชื่อ แต่เป็นลูกค้าปฏิเสธการใช้สินเชื่อที่ได้รับอนุมัติแล้ว วงการอสังหาริมทรัพย์ก็ปั่นป่วนสิครับ
เป็นสถานการณ์แบบ New Normal เกิดขึ้น จากเดิมที่สินค้าบ้านและคอนโดมิเนียมในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่มีปัญหาถูกแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อหรือกู้ไม่ผ่าน (Reject Rate) สูงถึง 50-70% แต่วันนี้ลูกค้ากลับปฏิเสธการรับสินเชื่อเพราะรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในอนาคต ว่าจะมีความสามารถในผ่อนชำระ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน หรือ First Jobber จึงหันไปเลือกเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าการซื้อ กลายเป็น Generation Rent เป็นโจทย์ใหม่ของวงการ เพราะหากเลื่อนเวลาการซื้อออกไป ก็เท่ากับสร้างความชะงักงันกับวงการอสังหาริมทรัพย์
การที่รู้สึกว่า ไม่มีวันพรุ่งนี้ ทำให้การมุ่งหวังสร้างอนาคตค่อย ๆ ริบหรี่ลง การไม่มีความหวังเป็นการบ่อนทำลายความอยากมีอยู่เพื่ออนาคตอย่างมาก ซึ่งจะมีผลต่ออีกหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความมั่นคงเพื่ออนาคต ก็จะหมดความหมายไป
รู้งี้…จะทำอย่างไรดี
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
เงินเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต แต่ระวัง..อย่าปล่อยให้เงินทำลายชีวิต