The Story Thailand เกาะติด TCP Spirit คณะเศษสร้างปี 3 ศึกษาวัฏจักรหมุนเวียนทางชีวภาพ พื้นที่บุรีรัมย์
นกกระเรียนสายพันธุ์ไทย นกขนาดใหญ่ประจำถิ่น ไม่ใช่นกอพยพ มีเอกลักษณ์โดดเด่นลำตัวสีเทา คอสีแดง ความสูงประมาณ 150 ซม. 1 ใน 15 สัตว์ป่าสงวนตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เคยสูญหายจากธรรมชาติของประเทศไทยไปนานกว่า 50 ปี
หลังการเพาะพันธุ์และฝึกสอนนกกระเรียนให้อยู่ตามธรรมชาติได้ ขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และสวนสัตว์โคราช กระทั่งทยอยนำนกกระเรียนไทยปล่อยสู่ธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง จากเริ่มต้นที่อัตราการอยู่รอดเพียง 1-2 ปี และค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ จนมีอัตราการรอดชีวิตถึง 70% ในปัจจุบันมีนกกระเรียนไทยกว่า 100 ตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังเฝ้าติดตาม และจดบันทึกอย่างต่อเนื่อง เพราะนกกระเรียนเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวพอๆ กับคน หรือประมาณ 40-80 ปี
กระเรียนคืนถิ่น สื่อความหลากหลายทางชีวภาพฟื้นตัว
“การฝึกนกเพื่อปล่อยสู่ธรรมชาติ ใช้คนใส่ชุดเลียนแบบนกที่ศูนย์ฝึกโคราช จากนั้นได้นำมาปล่อยบินครั้งแรกที่บุรีรัมย์ บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก และอ่างเก็บน้ำสนามบิน เพราะถ้านกบินครั้งแรกที่ไหน จะกลับมาทำรัง และวางไข่ที่นั่น ซึ่งนกเริ่มจับคู่และวางไข่เองในธรรมชาติตั้งแต่ปี 2559” เติ้ล ณัฐวัฒน์ แปวกระโทก นักวิชาการสวนสัตว์ ศูนย์เรียนรู้พื้นที่ชุ่มน้ำและนกกระเรียนพันธุ์ไทย จังหวัดบุรีรัมย์ ให้ข้อมูล
ทั้งนี้ มีหลักฐานภาพถ่ายในอดีตยืนยันว่า บุรีรัมย์ คือ จังหวัดหนึ่งที่มีนกกระเรียนไทยเคยอาศัยอยู่ แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน สภาพภูมิอากาศต่างจากเดิม ความชุ่มชื้นของพื้นที่หายไป สิ่งมีชีวิตที่เคยมีก็หายไป ความหลากหลายทางชีวภาพหดหาย นักดูนกต้องบินไปดูนกที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม หรือดูนกกระเรียนสายพันธุ์อื่น ที่ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านกำลังมาดูกระเรียนที่ประเทศไทย และคาดหวังจะร่วมมือศึกษาการเพาะพันธุ์นกกระเรียน และวิธีการฝึกนกเพื่อคืนสู่ธรรมชาติ
จากอายุขัยของนกกระเรียน และพฤติกรรมการครองคู่เดียวตลอดชีวิต เมื่อคู่ตายจะเศร้าโศกและตรอมใจตายตาม นกกระเรียนจึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งในสัตว์มงคลของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียหลายๆ ประเทศ ที่บ่งบอกความมีอายุยืน และความซื่อสัตย์ของคู่แต่งงาน (แต่เรื่องคู่ของนกกระเรียนนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะมีผู้ศึกษาพฤติกรรมเผยว่า แม้จะครองคู่เดี่ยว แต่เมื่อคู่ตายจาก นกอีกตัวจะเลือกจับคู่ใหม่อยู่ร่วมกัน)
กระเรียนอุปถัมป์ ชดเชยความสูญเสีย
ในฐานะนกขนาดใหญ่ พฤติกรรมทำรัง วางไข่ เหยียบย่ำ ถอนต้นข้าวในนามารองรัง หาอาหารในท้องนา อาหารหลักคือ กุ้ง หอย ปู ปลา และมีกินข้าวบ้าง สร้างความเสียหาย 1 รังประมาณ 280-300 บาท
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นที่รังเกียจของชาวนาในพื้นที่ จึงจัดทำโครงการกระเรียนอุปถัมภ์ ให้เงินชดเชยความสูญเสียแก่ชาวนาในพื้นที่นาที่นกไปลง คือ นาปลอดสารเคมี
เริ่มจากองค์การสวนสัตว์ พัฒนา ‘กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านสวายสอ’ เป็นกลุ่มชุมชนนำร่องกลุ่มแรก ปลูกข้าวหอมมะลิและทำการเกษตรแบบลดใช้สารเคมี ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านสวายสอ ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิภายใต้สัญลักษณ์ “ข้าวสารัช” (SARUS RICE)
ชื่อนี้มีที่มาจากชื่อทั่วไป (Common name) ของนกกระเรียนพันธุ์ไทย (Eastern Sarus Crane) และสอดคล้องกับคำว่า สารัตถประโยชน์ ที่หมายถึงประโยชน์ที่เป็นแก่นสาร หรือประโยชน์ที่ยั่งยืนถาวร
เกษตรอินทรีย์ เพิ่มคุณภาพชีวิต
ส่วนเกษตรกรปลูกพืชอินทรีย์ ทองพูน อุ่นจิตต์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 บ้านสวายสอ ต.สะแกโพรง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และปรารถนา อุ่นจิตต์ ภรรยา ร่วมกันให้ข้อมูลว่า ได้เริ่มทำเกษตรอินทรีย์เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวก่อนจะขยายสู่ภายนอก
จากการทำนาใช้สารเคมี จะได้ผลผลิตข้าวเปลือก 400-450 กิโลกรัมต่อไร่ พอมาทำเกษตรอินทรีย์ ช่วง 1-5 ปีแรก ผลผลิตที่ได้รับต่ำมาก ปีแรกทดลองทำนา 8 ไร่ได้ข้าว 50 กิโลกรัมต่อไร่ และทยอยเพิ่มขึ้นๆ เป็น 200-300 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากผ่านพ้นปีที่ 5 ถึงปัจจุบันได้ผลผลิตข้าวเปลือกเท่าเทียมกับการทำนาใช้สารเคมีแล้ว
“ข้อแตกต่างคือ การทำนาใช้สารเคมีจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทุกๆ ปี เพราะแต่ละปีต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ย และยาฆ่าแมลง แต่การทำเกษตรปลอดสาร จะมีระยะ 5 ปีแรกของการปรับตัวของพื้นดิน ที่ได้ผลผลิตน้อย ที่สำคัญคือ ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมื่อมีโครงการกระเรียนคืนถิ่น จึงเป็นความสอดคล้องเชื่อมโยงกันพอดี นกกระเรียนยังมาช่วยกินศัตรูข้าวในนา”
พืชผักทางการเกษตรที่ได้ ยังนำมาปรุงอาหารปลอดสารเคมี ณ เถียงนาเชฟเทเบิ้ล ซึ่งรายการอาหารจะมีตามวัตถุดิบสด ใหม่ต่างๆ ในพื้นที่
นอกจากนี้ ชุมชนยังได้รับการพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีนกกระเรียนพันธุ์ไทยเป็นสัญลักษณ์
เรียนรู้เศรษฐกิจหมุนเวียน กับ TCP Spirit คณะเศษสร้าง ปี 3
ขณะที่ TCP Spirit ระดมอาสาสมัครคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดรักษ์โลก 50 คนจากทั่วประเทศ ปลูกจิตสำนึกการปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติ ผ่านคณะเศษสร้าง ปี 3 หัวข้อ “เฮียนธรรมชาติหมุนเวียน เบิ่งนกกระเรียนฟื้นคืน” ต่อยอดองค์ความรู้และสานต่อบทเรียนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเข้มข้นให้ได้สัมผัสวัฏจักรทางชีวภาพ (Biological Cycle) ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการน้ำในชุมชนสู่การเป็นชุมชนต้นแบบที่อยู่กับธรรมชาติอย่างเกื้อกูล

สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ให้ข้อมูลว่า กิจกรรมคณะเศษสร้าง ปี 3 ต้องการพาอาสาสมัครมาเรียนรู้แบบลงมือทำจริงในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเข้ามาแทนที่ระบบเศรษฐกิจแบบเส้นตรงเพื่อแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหลือทิ้งให้น้อยที่สุด
“กิจกรรมนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้อาสาได้นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชุมชน พร้อมทั้งส่งต่อพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงให้คนรอบข้างและสังคม เพื่อร่วมกันรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้โลกของเราดียิ่งขึ้น โดยอาสาจะได้สัมผัสและเกิดความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของระบบนิเวศที่มีการหมุนเวียนและควรได้รับการฟื้นฟู (Regenerate) เพื่อสร้างสมดุลในโลกที่กำลังวิกฤต”
นอกจากสัมผัสพื้นที่ชุ่มน้ำ ชมความสมดุลของระบบนิเวศจากการกลับคืนของนกกระเรียนพันธุ์ไทย การทำเกษตรอินทรีย์ ได้เรียนรู้วิธีการตีข้าว ฝัดข้าว และเพาะต้นกล้าด้วยตัวเอง แล้วยังได้ร่วมปลูกหม่อนโดยใช้ปุ๋ยจากขี้วัวและฟางเพื่อคงสภาพดิน ช่วยให้หนอนไหมกินใบหม่อนที่สามารถปลูกซ้ำได้ เพื่อเพิ่มมูลค่าแก่ของเสียที่ได้ในกระบวนการผลิต การแปรรูปรังไหมและหนอนไหม ในกระบวนการทอผ้าไหม ที่ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ณ ชุมชนต้นแบบบ้านหัวสะพาน
หวังการสนับสนุนช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ และครูใหญ่คณะเศษสร้าง ระบุว่า บุรีรัมย์ เป็นตัวอย่างที่ดีในการสาธิตเกษตรอินทรีย์ และความหลากหลายทางชีวภาพ การทำเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Farming) ซึ่งจะช่วยลบมายาคติที่ว่า เกษตรอินทรีย์ไม่พอเพียงต่อการเลี้ยงดูประชากรทั้งโลก
“จากตัวอย่างที่เกษตรกรเล่า จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ จะมีระยะฟื้นตัวของดินหลังปลดล็อกจากสารเคมี หลังการเปลี่ยนผ่านแล้ว ผลผลิตจะกลับมาเช่นเดิม ซึ่งเรื่องนี้มีงานวิจัยรองรับ และการฟื้นฟูจะนำสัตว์เข้ามาในระบบด้วย”
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนให้ทำเกษตรอินทรีย์ต้องมีหน่วยงานอาจจะเป็นทั้งรัฐ และเอกชนเข้ามาอุดหนุนบางส่วนในช่วง 1 – 5 ปีแรก ที่เกษตรกรมีผลผลิตน้อยไม่เพียงพอต่อการยังชีพ หากมีต้นทุนหนุนการเปลี่ยนผ่าน เกษตรอินทรีย์จะเกิดขึ้นได้ และเมื่อทำต่อไปมีปริมาณมากขึ้น จะช่วยให้ต้นทุนลดต่ำลง นำไปสู่การจำหน่ายผลิตผลในราคาเท่ากับเกษตรใช้สารเคมี เป็นราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ นำไปสู่ความยั่งยืน
TCP หนุนความยั่งยืน
สราวุฒิ บอกว่า เรื่องการใช้แพ็กเก็จจิ้งที่รีไซเคิลได้ เป็นสิ่งที่ TCP ดำเนินการอยู่แล้ว แม้ยังไม่มีกฎหมายกำหนด เพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับเช่นเดียวกับภาคเอกชนอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน ตั้งใจจะผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้นการปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญ และต้องทำเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นคืนสภาพแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ
อาสารักษ์โลก

ศิริมงคล คชภักดี (ฮอท) เปรมลัดดา ผงกุลา (เปรม) และธีรพล ปานคง (สมยีนส์) ตัวแทนอาสาสมัครที่เข้าร่วมถอดรหัสเศรษฐกิจหมุนเวียน เรียนรู้ Biological Cycle กับคณะเศษสร้าง ปี 3 บอกว่า แม้จะต่างสายอาชีพ แต่พวกเขาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
ฮอท ทำงานอาสาสมัครตั้งแต่อายุ 15 ปี จนปัจจุบันอายุ 30 ปี ร่วมรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เปรม เป็นคุณครูโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และได้จัดตั้งชมรมเพื่อสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน และสมยีนส์ ทำงานด้านชีวอนามัยในโรงงาน และเข้าร่วมกิจกรรมเป็นปีที่ 2
ทั้ง 3 คน บอกว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทำให้มีเครือข่ายคนรักสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้พูดคุยรับรู้ปัญหา และวิธีการแก้ไขจากเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปเผยแพร่และปรับใช้กับการทำงานได้ต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Air Canada ผลักดันท่องเที่ยวรักษ์โลก เปิดไฟลท์บินตรง กรุงเทพฯ-แวนคูเวอร์ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
KBTG ร่วมทัพ 3 สถานศึกษา เพื่อพัฒนา 3 หลักสูตรใหม่สำหรับการศึกษาไทย