Share on
×

Share

‘ส่งออกศูนย์เหรียญ’ ทำไทยป่วน

หลังจาก “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีใหม่ที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” หรือ ภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) โดยมาตรการขั้นต้น คือ สินค้านำเข้าทั้งหมดต้องเสียภาษีในอัตราพื้นฐาน 10% และเพิ่มอัตราภาษีสูงขึ้นสำหรับบางประเทศ ซึ่งคิดจากปัจจัยที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับประเทศที่ป็นคู่ค้า และจากกรณีที่มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าซึ่งสหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรม หรือกรณีที่ประเทศคู่ค้าแทรกแซงค่าเงินให้อ่อนทำให้สหรัฐเสียประโยชน์

สำหรับประเทศไทยอัตราภาษีที่โดนเรียกเก็บจริง ๆ คิดเป็น 72% แต่ทรัมป์บอกลดครึ่งหนึ่งเหลือ 36% ทั้งที่แรก ๆ คิดว่าจะโดนเรียกเก็บไม่น่าจะเกิน 10% ก็ถือว่าหนักพอสมควรแต่เมื่อโดนถึง 36% ถือว่าสาหัสเลยทีเดียว ขนาดไม่โดนมาตรการ อะไรส่งออกของไทยก็มีแต่ทรงกับทรุดเพราะสินค้าหลายประเภทตกยุคแข่งกับใครไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ไทยครั้งนี้ถือว่าสหรัฐฯ​เอาคืน เพราะก่อนหน้านี้ไทยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงจนไม่สามารถแข่งขันในไทยได้ เช่น เก็บภาษีไวน์ที่นำเข้ามาจากสหรัฐฯ สูงถึง 400% และภาษีนำเข้ารถยนต์ที่สูงจนบริษัทรถยนต์สหรัฐฯ ต้องย้ายฐานมาผลิตในไทย และเก็บภาษีเนื้อหมูอ้างว่ามีสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งอัตราภาษีที่ไทยเรียกเก็บสหรัฐฯ ถือว่าไม่เป็นธรรม รวมถึงการที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก

แต่ประเด็นสำคัญ ตอนแรกคนไม่ค่อยให้น้ำหนักเพิ่งมามีการพูดถึงภายหลัง นั่นคือทรัมป์พิจารณาความใกล้ชิดของประเทศที่เป็นคู่ค้ากับสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนซึ่งเป็นคู่แค้นทางการค้ามาเป็นปัจจัยในการพิจาณาอัตราภาษีครั้งนี้ด้วย สะท้อนจากกรณีกลุ่มประเทศ CLMV ที่สหรัฐฯ มองว่ามีความใกล้ชิดจีนทั้งเศรษฐกิจและการเมืองต่างโดนกันถ้วนหน้า เช่น กัมพูชา 49% ลาว 48% เมียนมา 44% และเวียดนาม 49% เป็นอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย 32% บรูไนกับมาเลเซียเท่ากัน 24% ส่วนฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ที่มีความผูกพันกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด อัตรา 17% และ 10% ตามลำดับ

ส่วนกรณีของไทย สหรัฐฯ มองว่าการปล่อยให้จีนมาตั้งโรงงานผลิตสินค้าแล้วสวมสิทธิ์ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงสำหรับสินค้าจากจีนนั้นไทยมีส่วนเป็นฐาน “การส่งออกศูนย์เหรียญ” เป็นการ Re-export จากจีน ซึ่งในความเป็นจริงไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรจาการที่จีนมาใช้ประโยชน์ มิหนำซ้ำยังทำให้ตัวเลขส่งออกของไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ทั้งที่ไม่ใช่สินค้าที่ผลิตจากโรงงานของไทย กลับต้องถูกทรัมป์ลงโทษ ด้วยการเรียกเก็บภาษีใหม่ในอัตราที่สูง โดยต้นตอมาจากโรงงานศูนย์เหรียญของจีนที่สวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกแทนที่เรียกว่า “ส่งออกศูนย์เหรีญ

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเริ่มมีพิรุธจากข้อมูลช่วงปลายปี 2567 รายงานการส่งออกของไทยเติบโตอย่างน่าสนใจ และในเดือน ม.ค.-ก.พ. 68 ตัวเลขส่งออกยังคงเติบโตต่อเนื่องมากถึง 13-14% แต่เมื่อกลับไปดูตัวเลขดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยกลับตรงกันข้าม พบว่าหดตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2567 และในช่วงเวลาเดียวกัน ก็พบว่าไทยมีการนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นถึง 27%

นั่นย่อมหมายความว่าตัวเลขส่งออกของไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากสินค้าจีนเข้ามาใช้ไทยเป็นแค่ทางผ่าน หรืออาจมีฐานผลิตในไทยแล้วส่งออกไปโดยใช้สิทธิ์ของไทย

ก่อนนี้เราตื่นเต้นกับทัพทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก และเมื่อไม่นานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ รายงานด้วยความภูมิใจว่าปี 2567 ที่ผ่านมามีการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในรอบ 10 ปี ด้วยมูลค่า 1.31 ล้านล้านบาท (3,100 โครงการ) โดยนักลงทุนที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ สิงคโปร์ แต่เมื่อล้วงลึกดูไส้ในพบว่าแท้ที่จริงกลายเป็นบริษัทจีนแปลงร่างเป็นบริษัทสิงคโปร์เข้ามาลงทุน จนกลายมาเป็นชนวนให้ไทยต้องโดนภาษีตอบโต้จากอเมริกาอย่างรุนแรง

รายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า รายการสินค้าที่ต่างชาติโดยเฉพาะจีนสวมสิทธิไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มีถึง 49 รายการ เช่น ท่อเหล็ก ยางรถยนต์และรถบรรทุก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องจักรและชิ้นส่วน แผงโซลาร์เซลล์ ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก กล้องดิจิทัล ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบตัวถังรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ใยแก้ว กระปุกเกียร์ ฯลฯ ซึ่งรายได้ส่งออกสินค้าเหล่านี้ ไม่ได้เป็นของไทยแต่เป็นของบริษัทจีนไหลกลับไปประเทศแม่

แต่ที่น่าห่วงเนื่องจากมาตรการภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับไทยทำให้การส่งออกไทยเจอ 2 เด้ง เด้งแรก คือ สินค้าส่งออกไทยจะต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดขณะที่เศรษฐกิจโลกหลังจากมาตรการภาษีประกาศใช้คาดกันว่าจะอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม

เด้งที่สอง เมื่อภาษีสูงขึ้นทำให้ต้นทุนสินค้าไทยที่ส่งเข้าไปในสหรัฐฯ ก็จะเพิ่มสูงขึ้นตาม อย่างน้อย ๆ 36% สินค้าที่เคยนำเข้าไปขายราคา 100 บาท เมื่อภาษีประกาศใช้ ราคาต้องขยับเป็น 136 บาท แพงขึ้นจากเดิม 30% สินค้าหลายประเภทอาจจะต้องสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า

อย่าลืมว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้ อัตราการขยายตัวของการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ในช่วงพ.ศ. 2558 – 2563 (ปี ค.ศ.2015-2020) นั้น อยู่ที่ประมาณ 7.4% ต่อปี จึงเห็นได้ว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 34,380 ล้านเหรียญฯ ในปี 2020 มาเป็น 54,960 ล้านเหรียญฯ ในปี 2024 (เพิ่มขึ้นกว่า 20,000 ล้านเหรียญฯ ต่อปี)

สินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ หลัก ๆ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ อาหารทะเลแช่แข็ง เป็นต้น

มาตรการภาษีของทรัมป์ครั้งนี้ คงทำให้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องตาสว่างว่ามูลค่าส่งออกของไทยที่ผ่านมาเป็นส่งออกศูนย์เหรียญของจีน แต่สินค้าไทยกลับโดนเรียกเก็บภาษีจนหลังแอ่น หนทางเดียวที่รัฐบาลจะเจรจาให้สหรัฐฯ ผ่อนปรนต้องแสดงความจริงใจล้างบางส่งออกศูนย์เหรียญเท่านั้น

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ระบบอุปถัมภ์-ข้าราชการ กับดักสู่ปัญหาวิกฤติของชาติ

‘อุยกูร์ เอฟเฟ็กต์’ หนักกว่าที่คิด 

แค่เลิกทุจริต จีดีพี. ก็เพิ่ม

×

Share