แม้การเจรจาสงบศึกการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะจบลงด้วยดี ทั้งสองฝ่ายออกมาแถลงด้วยถ้อยคำคล้าย ๆ กันว่า มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยทั้ง 2 ฝ่ายเตรียมระงับภาษีตอบโต้ที่ต่างฝ่ายต่างประกาศออกมาก่อนหน้านี้ และยังได้ข้อสรุปร่วมกัน ที่จะตั้งกลไกขึ้นมาเจรจาเรื่องภาษี แทนการยืนแลกหมัดต่อหมัดเหมือนที่ผ่านมา
แน่นอนว่า สถานการณ์ข้างต้นถือเป็นข่าวดีที่สุดนับจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ งัดมาตรการภาษีตอบโต้ หรือ ภาษีทรัมป์ ขึ้นมาเล่นงานประเทศคู่ค้า แต่ใช่ว่าความไม่แน่นอนจากภาษีทรัมป์จะหายไป เพราะปลายทางของการเจรจาระหว่าง 2 พี่เบิ้ม และคู่เจรจาอื่น ๆ ยังยากประเมิน สุดท้ายแล้วจะจบแบบชื่นมื่นอย่างที่หวังกันไว้หรือไม่
ล่าสุด ผลที่คาดว่าจะมาจากภาษีทรัมป์ ถูกยกให้เป็น “ว่าที่วิกฤติเศรษฐกิจ” เป็นที่เรียบร้อย และคาดว่าระดับความรุนแรงเทียบเคียงกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเลยทีเดียว
สัปดาห์ที่แล้ว เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ออกมาฉายภาพผลกระทบที่น่าจะเป็น และคาดว่าจะเกิดกับเศรษฐกิจ จากผลของนโยบายภาษีตอบโต้ของ ประธานาธิบดีฯทรัมป์
อย่างแรก ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ว่า แม้ผลจากวิกฤติทรัมป์จะไม่หนักหนาเหมือนวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 และวิกฤติการเงินโลกในปี 2551 แต่จะช็อกเศรษฐกิจ นานและไม่น่าจะจบเร็ว โดยอ้างถึงสัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯมีสัดส่วนสูงถึง 2.2% ต่อจีดีพี และประเมินว่าการเจรจากับสหรัฐฯ (ของไทย) คงไม่จบง่าย เพราะมีอีกหลายประเทศที่เข้าแถวรอเจรจาอยู่เวลานี้
ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ด้วยว่า ผลจากวิกฤติทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทย จะเริ่มแสดงตัวในช่วงไตรมาส 3 และถึงจุดต่ำสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยขณะนี้ผลกระทบในด้านชะลอการลงทุนเกิดขึ้นแล้ว ใน 5 อุตสาหกรรม คือ อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องจักรยานยนต์และชิ้นส่วน, เกษตร และเกษตรแปรรูป
นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังจับตาผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชน ที่ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอื่นก่อนส่งต่อไปยังสหรัฐฯ อีกทอดหนึ่ง และอีกกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ คือ อุตสาหกรรมที่อาจจะถูกกระทบจากการที่สินค้านำเข้าจากหลายประเทศทะลักเข้ามาในไทย จากการที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้
ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม มีผลต่อจีดีพี ราว 0.8% เกี่ยวโยงกับเอสเอ็มอีไม่น้อยกว่า 120,000 ราย และมีการจ้างงานสูงถึง 400,000 คน หากไม่มีมาตรการบรรเทาหรือสินค้าทะลักเข้าไทย จะมีผลระยะยาวมหาศาลแน่ ผู้ว่าแบงก์ชาติระบุ
ส่วนมาตรการที่จะนำมาใช้นั้น การกระตุ้นการบริโภคไม่ใช่มาตรการที่ตอบโจทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน มาตรการที่ควรนำมาใช้นั้น ต้องทำให้อาการช็อกทางเศรษฐกิจนั้น เบาลง และไม่ลงลึกมาก รวมทั้งต้องอื้อให้การปรับตัวที่จะเกิดขึ้นทำได้รวดเร็ว และเป็นการเติบโตในระยะยาวหลังพายุลูกนี้ผ่านพ้นไป
พร้อมกันนั้นยังเตือนด้วยว่า หลังวิกฤติครั้งนี้ผ่านไป เศรษฐกิจโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยต้องปรับตัวให้อยู่ได้อย่างสง่างาม หากยังพึ่งพาการเติบโตแบบเดิม ๆ เศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้าจะชะลอตัวลงกว่าเดิม
มองไปข้างหน้าตามผู้ว่าฯเศรษฐพุฒิแล้ว นึกถึงเสียงประกาศบนเครื่องบินให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดเพราะเครื่องบินกำลังเข้าสู่บริเวณสภาพอากาศแปรปรวน ..
สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ เข้าไว้ครับ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน