Share on
×

Share

‘Sustainable Content’: เมื่อคอนเทนต์ไม่ใช่แค่ยอดไลก์

ในยุคที่กระแสข้อมูลหมุนวนอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่แขวนอยู่บนโลกดิจิทัลคือ คอนเทนต์ที่เราสร้างและเสพกันอยู่ทุกวัน จะสามารถขับเคลื่อนสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้อย่างไร? โดยเฉพาะในประเด็น “ความยั่งยืน” ที่หลายครั้งถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และไกลตัวเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเอื้อมถึง

เวทีเสวนาหัวข้อ “Sustainable Content = Sustainable Culture?” ได้มอบคำตอบที่ลึกซึ้ง ผ่านมุมมองและประสบการณ์ของ 3 นักสื่อสารผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม ได้แก่ ก้อง-ชณัฐ วุฒิวิกัยการ เจ้าของเพจ “ก้อง Green Green” และผู้ก่อตั้งกลุ่ม “แยกขยะกันเถอะ” ที่มีสมาชิกกว่า 40,000 คน ใบตอง-จรีรัตน์ เพชรโสม Miss Earth Thailand 2021 ผู้เรียกตัวเองว่า “นักสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม” และ เต๊ะ-จิราภรณ์ วิหวา ผู้ร่วมก่อตั้ง ili U แพลตฟอร์มสำหรับ “conscious lifestyle” พวกเขาทั้งสามได้สะท้อนให้เห็นว่า พลังของการสื่อสารนั้นสามารถจุดประกายและสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง

นิยามใหม่ที่ไปไกลกว่าแค่ “สิ่งแวดล้อม”

จุดเริ่มต้นที่น่าสนใจคือการนิยามคำว่า “Sustainable Content” ซึ่งทั้ง 3 คนได้ให้ความหมายที่กว้างและลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องขยะหรือการปลูกป่า

เต๊ะ-จิราภรณ์มองว่ามันคือ “การเล่าเรื่องความยั่งยืนในภาชนะที่เรามี” ไม่ว่าจะเป็นบทความ รายการทีวี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรูปแบบใหม่ ๆ แต่หัวใจสำคัญคือการขยายขอบเขตไปสู่ “conscious lifestyle” ซึ่งคือการ “เห็นหัวคนอื่น” ในทุกมิติ ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงสิทธิมนุษยชนและการสนับสนุนผู้คนรอบข้าง

ขณะที่ใบตอง-จรีรัตน์เสริมว่า ความยั่งยืนในที่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หัวข้อสิ่งแวดล้อม แต่หมายถึงยั่งยืนทางความคิด ยั่งยืนทางการใช้ชีวิต โดยที่ไม่ต้องฆ่าจิตวิญญาณของตัวเอง คอนเทนต์ที่ยั่งยืนจึงอาจเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่สามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ เหมือน “Baitong Journey” ที่เป็นบันทึกการเดินทางในชีวิตของเธอเอง

ด้านก้อง-ชณัฐผู้เริ่มต้นจากการทำคอนเทนต์เรื่องแยกขยะเพราะอยากให้ทุกคนทำตาม ได้เรียนรู้และตกผลึกว่า การสร้างการรับรู้ (awareness) หรือสร้างคอมมูนิตี้เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ คอนเทนต์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงต้องสามารถเชื่อมโยงผู้บริโภคเข้ากับภาคธุรกิจ เขาเล่าว่าตนเองได้ใช้ตำแหน่ง Content Creator ที่อยู่ตรงกลางระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค นำความต้องการของผู้คนไปพูดคุยกับแบรนด์ เพื่อช่วยกันออกแบบแคมเปญหรือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และไม่ล้มหายตายจากไปง่าย ๆ

ถอดสูตรสร้าง Impact: เมื่อความจริงใจและประโยชน์ร่วมกันคือคำตอบ

แล้วคอนเทนต์แบบไหนที่สร้างผลกระทบได้จริง? คุณก้องยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด คือ แคมเปญที่คิดมาอย่างครบวงจรและทุกฝ่ายได้ประโยชน์ “สมมติว่าแบรนด์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบอกว่า คุณมีตู้เย็นเก่าเอามาแลกเป็นส่วนลด 3,000 บาทในการซื้อเครื่องใหม่ได้ไหม? แบบนี้ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ สิ่งแวดล้อมก็ได้ประโยชน์เพราะขยะถูกจัดการถูกวิธี และแบรนด์ก็ได้ลูกค้า” นี่คือการออกแบบที่คิดมาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่การตั้งจุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ที่อาจไม่คุ้มค่ากับการเดินทางของผู้บริโภค

ใบตองย้ำว่าหัวใจที่ขาดไม่ได้คือ “ความจริงใจ” ในการสื่อสาร “เราต้องจริงใจถึงขั้นที่ว่า ตอนนี้โลกมันแย่ ถ้าทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้ มันอาจจะช่วยโลกไม่ได้แล้ว แต่ทุกคนต้องเปลี่ยนเพราะถ้าไม่เปลี่ยน ตัวเราเองและคนรุ่นต่อไปจะได้รับผลกระทบ” เธอเชื่อว่าหน้าที่ของผู้สื่อสารไม่ใช่แค่การโยนข้อมูลน่ากลัวใส่ผู้คน แต่คือการเปิดมุมมองที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ในขณะที่คุณเต๊ะเชื่อในการสร้างพื้นที่ให้ “imperfect activist” หรือนักกิจกรรมที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะ “ทุกคนมีวันที่ขี้เกียจ มีวันที่เหนื่อย” เธอจึงสร้างคอมมูนิตี้เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้คนที่มีใจเดียวกันได้มาเจอและเติมพลังให้กัน ตัวอย่างที่สร้างสรรค์ที่สุดคือกิจกรรม “ตลาดนัดแรกพบ” ที่ชวนคนเอาของของแฟนเก่ามาแลกกันโดยไม่ใช้เงิน พร้อมแบ่งปันเรื่องราวเบื้องหลังสิ่งของเหล่านั้น ซึ่งเปลี่ยนเรื่องการบริโภคเกินจำเป็น (Overconsumption) ให้กลายเป็นกิจกรรมที่สนุกและเยียวยาจิตใจคนเมืองที่เหงาได้ในเวลาเดียวกัน

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด: ทำอย่างไรเมื่อคน “รู้…แต่ไม่ทำ”

อุปสรรคสำคัญที่ทุกคนต้องเจอคือทัศนคติที่ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็น “เรื่องไกลตัว” หรือความรู้สึกว่า “พลังของเราน้อยนิด”

ก้องโต้แย้งประเด็นนี้อย่างทรงพลัง “เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าปัญหามันไกลตัว แต่สารคดี Plastic People บอกเราว่าตอนนี้ในร่างกายเรามีไมโครพลาสติกอยู่ทุกส่วน ทั้งในรก ในสมอง ในเลือด มันไม่ใกล้กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” เขายังเชื่อมโยงภาวะโลกร้อนเข้ากับเรื่องปากท้องโดยตรง “หน้าร้อนที่ผ่านมาไข่ไก่แพง เพราะอากาศร้อนจนแม่ไก่ไม่ค่อยออกไข่ นี่คือผลกระทบที่มาถึงจานข้าวของเราแล้ว”

ด้านใบตองชี้ไปที่ความท้าทายด้านจิตใจ นั่นคือการ “รู้ แต่ ignore” พร้อมกับข้ออ้างว่า “เดี๋ยวก็มีคนอื่นทำ” หรือ “เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ” เธอยกตัวอย่าง Greta Thunberg ว่า “คนเดียวเอง แล้วดูสิคะว่าเขาสร้างแรงกระเพื่อมให้โลกได้ขนาดไหน” คำถามที่สำคัญที่สุดจึงไม่ใช่การถามคนอื่น แต่คือการถามตัวเองว่า “เราเริ่มทำหรือยัง?”

จากประกายไฟสู่เปลวเพลิง: เมื่อคอมมูนิตี้ขับเคลื่อนตัวเอง

ความสำเร็จที่น่าชื่นใจที่สุดคือการได้เห็นคอนเทนต์ที่พวกเขาทำนั้น จุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตจริง ก้องเล่าด้วยความภูมิใจถึงกลุ่ม Facebook “แยกขยะกันเถอะ” ที่เติบโตจน “แอดมินแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากลบสแปม” เพราะสมาชิกช่วยเหลือและแบ่งปันข้อมูลกันเองอย่างน่าทึ่ง และล่าสุดเขาก็ได้สร้างกลุ่มใหม่ในชื่อ “ผู้บริโภคที่อยากเห็นโลกดีขึ้น” เพื่อเป็นพื้นที่รวมพลังและชี้เป้าธุรกิจดี ๆ

ใบตองเล่าถึงฟีดแบคจากผู้ติดตามที่ทักมาบอกว่า “ติดวิสัยใบตองไปแล้ว” คือไปเที่ยวแล้วอดไม่ได้ที่จะช่วยเก็บขยะ หรือการได้เห็นแววตาของน้อง ๆ นักศึกษาที่เปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังเธอพูด สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือน “พลุ” ที่จุดประกายให้คนอื่น และคนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นพลุลูกต่อไปที่ส่องสว่างในสังคม

เรื่องเล่าของคุณเต๊ะก็สร้างแรงบันดาลใจไม่แพ้กัน “น้องที่ออฟฟิศไม่เคยแยกขยะเลย อยู่ ๆ วันหนึ่งเขาก็ทำ เพราะเอาขยะไปทิ้งที่เขตแล้วพี่เจ้าหน้าที่ชมว่าน่ารักจังเลย” นี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ ที่สะท้อนว่ามนุษย์ต้องการการยอมรับและ “เพื่อน” ที่จะทำสิ่งดี ๆ ไปด้วยกัน

คำแนะนำถึงผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงรุ่นต่อไป

สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นทำคอนเทนต์เพื่อสังคม ทั้ง 3 คนได้ฝากข้อคิดที่สำคัญไว้

ก้องแนะนำว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นสายกรีน” ครีเอเตอร์สายเทค ท่องเที่ยว ความงาม หรืออาหาร ล้วนสามารถพูดเรื่องความยั่งยืนในมุมของตัวเองได้ “Sustain ควรจะซึมอยู่ในทุก ๆ คอนเทนต์”

ใบตองให้กำลังใจว่า “เราผิดได้” ข้อมูลเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สิ่งสำคัญคือการเติบโตไปกับมัน และถ้าทำแล้วรู้สึกว่า “ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ค่ะ” การถอยออกมาเพื่อเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องผิด

ท้ายที่สุด เต๊ะฝากข้อคิดที่เป็นหัวใจของทุกสิ่งว่า “การเห็นว่าเราล้วนเชื่อมโยงกันนั้นสำคัญมาก” การกระทำของเราหนึ่งอย่างล้วนส่งผลต่อคนอื่นเสมอ หากเราตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ ทุกการกระทำของเราอาจได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น

เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า “Sustainable Content” ไม่ใช่เพียงเทรนด์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มันคือเครื่องมือทรงพลังที่สามารถสร้างบทสนทนา จุดประกายแรงบันดาลใจ และหล่อหลอมจนเกิดเป็น “วัฒนธรรมแห่งความยั่งยืน” ที่ไม่ได้อยู่แค่บนหน้าจอ แต่ฝังรากลึกลงในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AI และมนุษย์: การเดินทางในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

ปฏิวัติซัพพลายเชนการแพทย์: DKSH ทุ่มลงทุนแก้ปัญหาคอขวด ส่งเครื่องมือแพทย์ถึงมือหมอใน 2 ชม.

×

Share

ผู้เขียน