Share on
×

Share

‘AI สำหรับภาคธุรกิจ’ รายงานชี้ องค์กรในเอเชียแปซิฟิกเผชิญวิกฤติขาดทักษะ-ต้นทุนสูง

คลื่นปฏิวัติแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังถาโถมเข้าสู่ภาคธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกอย่างเต็มกำลัง องค์กรต่าง ๆ พร้อมใจกันทุ่มงบประมาณหลายล้านดอลลาร์เพื่อนำ AI และ Generative AI มาปรับใช้ แต่เบื้องหลังความตื่นตัวนี้กลับเต็มไปด้วยความท้าทายสำคัญที่อาจกลายเป็น “กับดัก” ฉุดรั้งความสำเร็จ ผลสำรวจเชิงลึกล่าสุดจาก IDC ที่ได้รับการสนับสนุนจาก เดลล์ เทคโนโลยีส์ และ NVIDIA เผยให้เห็นภาพจริงของสมรภูมินี้ ที่แม้จะมีโอกาสมหาศาลรออยู่ แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่ที่ทุกองค์กรต้องก้าวข้าม

ทุ่มสุดตัว แต่ผลลัพธ์ยังไม่สมดุล

รายงาน “การสร้างต้นแบบการใช้งาน AI ของคุณ” (Creating your AI Implementation Blueprint) ฉบับเดือนมกราคม 2025 ชี้ว่าตลาดเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 23,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปีนี้ และกว่า 84% ขององค์กรตั้งใจจะใช้งบประมาณ 1-2 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการริเริ่มด้าน GenAI โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจคือ แม้องค์กรในเอเชียแปซิฟิกจะจัดสรรงบประมาณให้ GenAI ถึง 38% ของงบ AI ทั้งหมด แต่กลับยังเทงบประมาณส่วนใหญ่ถึง 61% ไปให้กับ AI แบบดั้งเดิม (Predictive and Interpretive AI) สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังคงมุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์ มากกว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ด้วย GenAI อย่างเต็มรูปแบบ

สถานการณ์ในอาเซียนเองก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการปรับตัว โดย 35% ขององค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ ในขณะที่มีเพียง 21% เท่านั้นที่เรียกได้ว่ามีความสามารถขั้นสูงและปรับใช้ AI ในหลายส่วนงานแล้ว

เผชิญสารพัดความท้าทาย สกัดดาวรุ่ง AI

แม้จะเห็นศักยภาพที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า แต่เส้นทางการนำ AI ไปสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ องค์กรส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ ประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ การขาดแคลนทักษะ (Skills Gap) ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกที่ทวีความรุนแรงขึ้นในยุค AI โดยรายงานระบุว่ากว่า 72% ขององค์กรยอมรับว่าจำเป็นต้องจ้างบุคลากรใหม่ที่มีความรู้ด้านข้อมูลและ AI โดยตรง นำไปสู่การแข่งขันแย่งชิงตัวผู้เชี่ยวชาญและผลักดันให้ต้นทุนการจ้างงานสูงขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรยังต้องเผชิญกับ ความซับซ้อนและต้นทุน (Complexity & Cost)ทั้งในแง่การนำ AI มาผสานรวมกับเวิร์กโฟลว์เดิม ความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูล และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบข้อบังคับ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่ CIO ให้ความสำคัญสูงสุด

นอกจากนี้ ต้นทุนด้านไอทีที่เพิ่มขึ้นและการรักษามาตรฐานด้านการใช้พลังงานก็เป็นแรงกดดันที่สำคัญ และท้ายที่สุดคือโจทย์ด้าน กลยุทธ์และการกำกับดูแลข้อมูล (Strategy & Governance)ที่หลายองค์กรยังคงดิ้นรนเพื่อปรับกลยุทธ์ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจอย่างแท้จริง

ทางรอด: “สร้างเอง” หรือ “หาพาร์ตเนอร์” ?

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ องค์กรต่าง ๆ เริ่มมองหาแนวทางที่หลากหลายในการพัฒนาโซลูชัน AI ของตนเอง ข้อมูลเผยว่า 60% ของธุรกิจเลือกที่จะพึ่งพานักพัฒนาจากภายนอก ในขณะที่มีเพียง 30% ที่พัฒนาแอปพลิเคชัน AI ภายในองค์กรเอง และอีก 10% เลือกใช้โซลูชันสำเร็จรูป

แนวโน้มนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถเข้ามาช่วยได้ตั้งแต่การประเมินความพร้อม การออกแบบโร้ดแมป การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานเพื่อลดช่องว่างด้านทักษะ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งการปรับใช้ AI ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

ภูมิทัศน์ AI ในแต่ละอุตสาหกรรม

ปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงแต่ละอุตสาหกรรมในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน กลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน (BFSI) ถือเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ด้วยสัดส่วนการใช้ AI สูงถึง 84% และ GenAI 67% โดยเน้นที่การตรวจจับการฉ้อโกงและป้องกันการฟอกเงิน กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะนำโมเดล GenAI ที่มีอยู่มา “ปรับแต่ง” (Customizing) บนแพลตฟอร์มขององค์กร เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและเป็นเอกลักษณ์

ขณะที่ภาคการผลิต (Manufacturing) ก็ตามมาติด ๆ ด้วยการใช้ AI 78% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชนและการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ โดยผู้ผลิตกว่า 49% นิยมที่จะสร้าง (Building) โซลูชัน AI ขึ้นมาเอง เพื่อให้ตอบโจทย์กระบวนการผลิตที่ซับซ้อนของตน ส่วน อุตสาหกรรมพลังงาน (Energy) ก็มีการปรับใช้ AI ในระดับสูงเช่นกันที่ 83% เพื่อบริหารจัดการกริดพลังงานอัจฉริยะ แต่ด้วยช่องว่างด้านทักษะ ทำให้กลุ่มนี้พึ่งพาผู้เชี่ยวชาญภายนอกในการ “ปรับจูน” (Fine-tuning) โมเดล AI ด้วยข้อมูลขององค์กรเป็นหลัก

โดยสรุป การเดินทางสู่ยุค AI ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล แต่ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่งบประมาณ แต่วัดกันที่ความสามารถในการเอาชนะความท้าทายด้านบุคลากร ความซับซ้อน และการวางกลยุทธ์ที่เฉียบคม ซึ่งการเลือกพันธมิตรที่ใช่ จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ตัดสินว่าใครจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำ และใครจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในสมรภูมินี้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สวทช. เปิดโผ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568 ชู AI-การแพทย์-พลังงานสะอาด

‘Deep Tech’ โอกาสและความท้าทายของไทยในเวทีโลก

×

Share

ผู้เขียน