ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคชาวไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คำว่า “รัดเข็มขัด” “ระวังการใช้จ่ายมากขึ้น” และ “ลดการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย” ได้กลายเป็นคำอธิบายที่สะท้อนสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน และยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลให้หดตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่ อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย ซึ่งคร่ำหวอดในวงการนี้มากว่า 26 ปี ถึงกับยอมรับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ “ไม่เคยเจอมาก่อน”
อธิศได้เผยถึงภาพรวมและแนวโน้มที่น่าสนใจของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลในครึ่งปีแรกของปี 2568 ว่า สภาพเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มชะลอลง เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาระหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูง สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศ เช่น นโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบการส่งออก สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ผู้บริโภคหลายกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลให้ธุรกิจบัตรเครดิตมีแนวโน้มหดตัวลง
นอกจากนี้สถาบันการเงินยังต้องเผชิญกับมาตรการกำกับดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งทำให้การขยายธุรกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก
จากข้อมูลของชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย ซึ่งรวบรวมจากสถาบันการเงินทั่วประเทศถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 พบว่าตลาดบัตรเครดิตโดยรวมหดตัวลงอย่างชัดเจน โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งตลาด (มกราคม- มิถุนายน 2568) เติบโตเพียง 0.8% จาก 1,128,000 ล้านบาท เป็น 1,137,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าอัตราเติบโตปกติที่อยู่ที่ 5-6% ส่วนจำนวนบัตรเครดิตทั้งตลาด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ลดลงเหลือ 26.23 ล้านใบ จาก 26.39 ล้านใบ หรือลดลง 0.6%
“เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบ 26 ปีที่ผมทำงานในธุรกิจนี้” อธิศกล่าว
ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างลดลง 2.5% มาอยู่ที่ 458,000 ล้านบาท และอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.7% ซึ่งอยู่ในจุดที่ดีเพราะไม่เพิ่มขึ้น
ผู้บริโภคประหยัด-ใช้จ่ายระวังมากขึ้น
จากข้อมูลเชิงลึกของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ซึ่งครอบคลุมบัตรเครดิตกรุงศรี, กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, เซ็นทรัล เดอะวัน และโลตัส พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคสะท้อนถึงความกังวลทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ยอดใช้จ่ายลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา แม้ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเริ่มมีสัญญาณคงตัวแต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ในช่วงครึ่งปีแรก ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรายได้สูง (Affluent & Super Affluent) หรือกลุ่มรายได้ปานกลาง (Mass) ต่างก็มีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีแนวโน้มรัดเข็มขัดและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง หมวดสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าแฟชั่น สุขภาพและความงาม และการรับประทานอาหารนอกบ้าน มีการใช้จ่ายที่ลดลงอย่างชัดเจน
ส่วนผู้บริโภคกลุ่ม Mass หันมาใช้บริการผ่อนชำระ 0% มากขึ้น เพื่อบริหารสภาพคล่อง โดยเฉพาะโปรโมชันผ่อน 10 เดือน ซึ่งเป็นตัวเดียวที่ยังเติบโตท่ามกลางตลาดที่หดตัว
หมวดการใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับแรกในครึ่งปีแรก ได้แก่ 1. ประกันภัย (ได้รับอานิสงส์จากมาตรการ Co-Payment หรือ การมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้ง) 2. ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ 3. ปั๊มน้ำมัน 4. สินค้าตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน 5. ช้อปออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหมวดจำเป็นในชีวิตประจําวัน สะท้อนว่าผู้บริโภคเน้นรายจ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่หมวดร้านอาหาร ซึ่งปกติติดอันดับ 1-5 ก็หายไป แสดงถึงการลดการกินข้าวนอกบ้านและหันมาสั่งเดลิเวอรีแทน
ส่วนหมวดที่มีการเติบโตสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. กองทุนรวม (เติบโต 16.3%) 2. แอปเดลิเวอรี (เติบโต 15.4%) 3. โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน (เติบโต 14.9%) 4. ตัวแทนท่องเที่ยว (เติบโต 14.6%) 5. อุปกรณ์กีฬาและฟิตเนส (เติบโต 6.5%) ซึ่งไม่มีหมวดชีวิตประจําวัน แต่สะท้อนถึงการปรับตัว เช่น หันมากินอาหารเดลิเวอรีแทนออกไปทานนอกบ้าน และเน้นการวางแผนทางการเงินระยะยาวผ่านกองทุนรวม
หมวดผ่อนชำระที่เติบโตสูงสุด ได้แก่ ช้อปออนไลน์ (เติบโต 16%) ประกันภัย (เติบโต 14%) และตกแต่งยานยนต์ เช่น เปลี่ยนยางรถ แบตเตอรี่ (เติบโต 8%) ซึ่งเป็นรายจ่ายจำเป็น
“พฤติกรรมเหล่านี้ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ที่รณรงค์ให้ ‘กำเงินสด’ และ ‘ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น’ ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อเฉพาะของที่มีมูลค่าเพิ่มหรือช่วยบริหารสภาพคล่องเท่านั้น” อธิศ กล่าว
เน้นผ่อนระยะยาว ลดภาระหนี้
ด้าน อธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวเสริมว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงส่งผลให้ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้สินเชื่อมากขึ้นและต้องการลดภาระการใช้สินเชื่อในสถานการณ์ความไม่แน่นอน จึงส่งผลให้มีการใช้สินเชื่อที่ลดลง ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ควบคู่กับมาตรการการควบคุมของหน่วยงานภาครัฐ ส่งผลให้ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลง จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในการปล่อยสินเชื่อในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง
จากข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้สินเชื่อในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ พบว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าสนใจ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวเพื่อบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน คือ นิยมเลือกผ่อนชำระแบบรายเดือนมากขึ้น เลือกระยะเวลาในการผ่อนนานขึ้น เพิ่มยอดชำระเกินยอดขั้นต่ำ และลดความถี่ในการใช้สินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยง
ผลประกอบการครึ่งปีแรกโตดีกว่าตลาด
กรุงศรี คอนซูมเมอร์ มีส่วนแบ่งการตลาดในแง่ของจำนวนบัตรเครดิตเป็นอันดับ 1 ของประเทศหรือ 24% หรือ 6.3 ล้านใบ และมีส่วนแบ่งการตลาด 17% ในแง่ของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
สำหรับผลประกอบการของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 อธิศระบุว่ายังเติบโตดีกว่าตลาดโดยรวม แม้จะมีตัวเลขหดตัวในบางส่วนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยตัวชี้วัดหลัก ได้แก่
- ยอดบัญชีลูกค้าใหม่ (รวมบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล) จำนวน 273,700 บัญชี ลดลง 4.5% จากปีที่แล้ว
- ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต อยู่ที่ 191,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1.5% ซึ่งดีกว่าตลาดโดยรวมที่เติบโตเพียง 0.8%
- ยอดสินเชื่อใหม่ (สินเชื่อบุคคล) อยู่ที่ 45,400 ล้านบาท ลดลง 2.7%
- ยอดสินเชื่อคงค้าง (รวมบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล) อยู่ที่ 136,000 ล้านบาท ลดลง 2.9%
- อัตราส่วน NPL อยู่ในระดับต่ำและสามารถควบคุมได้ดี โดย NPL ของบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% และสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.3% ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
มุ่งเติบโตอย่างมีคุณภาพ
อธิศยอมรับว่า สถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะลำบากไม่น้อยไปกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากปัจจัยลบต่าง ๆ ยังคงอยู่และอาจเพิ่มความเข้มข้นขึ้น
เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงได้ปรับกลยุทธ์มาเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ในระยะยาว โดยมุ่งสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตที่มีคุณภาพและบริหารความเสี่ยง โดยมีแกนกลยุทธ์ 4 ด้าน ได้แก่
- การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ (Data for Business) กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ลงทุนในระบบและเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งช่วยให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด รวมถึงขยายโอกาสในการต่อยอดรายได้ใหม่ ๆ ให้กับองค์กร
- การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน(Productivity and Efficiency) ในสภาวะที่การสร้างรายได้ทำได้ยาก การควบคุมต้นทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะทำการปรับโครงสร้างองค์กรและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ธุรกิจมีความคล่องตัวและสามารถทำกำไรได้ดีขึ้นในระยะยาว
- การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และจุดขาย (Focus Core Product) ในช่วงครึ่งปีหลัง กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะมีการปรับโฉมและจุดขายของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อให้บัตรและสินเชื่อมีความโดดเด่นและมีสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้บัตรในเครือกรุงศรีเป็นบัตรหลักในชีวิตประจำวัน
- การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า (Payment of Choice) กรุงศรี คอนซูมเมอร์ มุ่งมั่นที่จะสร้างโปรโมชันที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้จะมีการผนึกกำลังจากบัตรเครดิตทุกแบรนด์ในเครือเพื่อสร้างแคมเปญใหญ่ที่คืนกำไรให้ลูกค้ามากขึ้นผ่านทุกหน้าบัตร นอกจากนี้ยังมีการมองหาพาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ และวิธีการชำระเงินที่ทันสมัย เพื่อขยายช่องทางการใช้จ่ายให้ครอบคลุมและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
อธิศกล่าวว่า แม้ตัวเลขของธุรกิจบัตรเครดิตจะหดตัวในครึ่งปีแรก แต่ครึ่งปีหลังยังคงเป็นคำถามว่าจะพลิกฟื้นหรือซึมต่อ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะแย่กว่าครึ่งปีแรก เพราะถ้าเป็นประเด็นเรื่องความไม่มั่นใจของผู้บริโภค ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินในกระเป๋า สถานการณ์ก็อาจจะพลิกกลับมาได้ กลุ่มคนที่มีเงินแต่ไม่ซื้อ เพราะแค่ไม่อยากใช้จ่าย แต่เมื่อใดที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดีขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็จะกลับมาอีกครั้ง
“ผมยังหวังว่าไตรมาสที่ 4 จะมีสัญญาณในทางบวก” อธิศกล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ