Share on
×

Share

อย่าเล่นกับไฟ

การคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” หรือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คนใหม่แทน ปรเมธี วิมลศิริ ที่สิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมากำลังเป็นที่จับตามองพลันที่รัฐบาลโยนชื่อ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง“​ อดีตรองนายกฯและ รัฐมนตรีคลังในสมัยยิ่งลักษณ์ ล่าสุดเป็นที่ปรึกษาอดีตนายกฯเศรษฐา ออกมากลายเป็นประเด็นร้อนทันที

เป็นที่รู้กันว่าพรรคเพื่อไทยและรวมถึงพรรคพลังประชาชนในอดีตกับแบงก์ชาติเป็นคู่ขัดแย้งทางความคิดในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจมาตลอด ฝ่ายการเมืองจึงพยายามจะเข้ามาแทรกแซง ครอบงำ เช่นในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เคยส่ง “ดร.โกร่ง-วีระพงษ์ รามางกูร” ที่ประธานที่ปรึกษานายกฯ ยิ่งลักษณ์ มานั่งตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เมื่อหมดวาระ ก็ตั้ง “ดร.กบ-อำพน กิตติอำพน” เลขาสภาพัฒน์ฯ ในขณะนั้นเข้าดำรงตำแหน่งแทน

แม้ในตอนนั้นเป็นที่รู้กันว่าทั้งสองท่านเป็นคนที่รัฐบาลส่งมา อีกทั้งก่อนหน้านั้นดร.โกร่งก็วิพากษ์แนวคิดของแบงก์ชาติแบบเผ็ดร้อนมาตลอดตั้งแต่สมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ด้วยบารมีบุคคลิกน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับความรู้ความสามารถในฐานะนักเศรษฐศาสตร์อันดับต้น ๆ ของประเทศ ทั้งดร.โกร่งและดร.กบจึงไม่มีกระแสคัดค้านจากสังคม

“คลัง-แบงก์ชาติ” สงบศึกหรือแค่พักยก

ต่างจากในกรณีของกิตติรัตน์ กลับถูกคัดค้านอย่างหนัก ถึงความไม่เหมาะสม อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้สวมบทเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน แสดงความคิดเห็น ทั้งเรื่องการลดดอกเบี้ย-ค่าเงิน รวมถึงเรื่องดิจิทัลวอลเลตสวนทางกับดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติมาตลอด 

คนที่ออกโรงคัดค้านแข็งขันที่สุด คือ “ธาริษา วัฒนเกส” อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า ขณะนี้มีแต่จิตสำนึกของคณะกรรมการสรรหาประธาน ธปท.เท่านั้นที่จะยับยั้งหายนะทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งในเรื่องไม่ลดดอกเบี้ย และการคัดค้านนโยบายการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาท เป็นต้น ล่าสุดก็มีการคาดหมายว่ารัฐบาลจะส่งคนของตนเข้าไปเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ก็เพื่อจะได้สามารถใช้ธปท.เป็นเครื่องมือในการสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากภาพนี้เกิดขึ้น หายนะของเศรษฐกิจไทยก็จะตามมาอย่างแน่นอน เหมือนที่เราเห็นในต่างประเทศที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในธนาคารกลาง

“การกระทำดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นของต่างประเทศต่อระบบเศรษฐกิจสั่นคลอน เพราะธนาคารกลางที่ถูกแทรกแซงจะไม่สามารถมีบทบาทในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว เศรษฐกิจจึงเสี่ยงที่จะเสียหายจากนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว หากธนาคารแห่งประเทศไทยถูกแทรกแซงจนขาดความเป็นอิสระ ความเสี่ยงของการ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากนานาประเทศก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก ผลเสียต่อธุรกิจและเศรษฐกิจย่อมตามมาอย่างแน่นอน”

จดหมายทิ้งท้ายว่า “…ได้แต่คาดหวังว่าคณะกรรมการสรรหาในครั้งนี้จะสามารถทำหน้าที่ที่สำคัญนี้ด้วยหลักการเดียวกัน คงไม่มีท่านใดอยากจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบในการทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกผันไปสู่ก้าวแรกของความหายนะ”

เป็นจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลที่แสดงความเห็นคัดค้านอย่างเผ็ดร้อนของอดีตผู้ว่าการฯ หญิงเหล็กหนึ่งเดียวของแบงก์ชาติ

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่มีมติคัดเลือกบุคคลใดให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ แบงก์ชาติคนต่อไป เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อ

เศรษฐา-เศรษฐพุฒิ ห่างไม่ได้ ใกล้ไม่ดี

นี่อาจเป็นสัญญาณส่งไปถึงรัฐบาลว่า การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงแบงก์ชาติไม่ได้ง่ายเหมือนก่อนแล้ว

สิ่งที่หลายคนเป็นห่วงก็คงคล้าย ๆ กับความเห็นของ “ธาริษา” คือห่วงว่า หากบุคคลที่มาเป็นบอร์ดแบงก์ชาติ เป็นคนที่มาจากฟากการเมือง อาจมีความเห็นพ้องกับรัฐบาล และสนองนโยบายตามที่รัฐบาลต้องการ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน เรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการดูแลค่าเงินบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยามเอาเงินสำรองระหว่างประเทศ (ยิ่งตอนนี้ที่มีสูงถึง 270,000 ล้านเหรียญ) มาตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ที่มีความพยายามตั้งแต่ไทยรักไทยจนมาถึงยุคเพื่อไทยซึ่งแบงก์ชาติและประชาชนได้คัดค้านมาตลอด  

หากดูเจตนารมณ์แท้จริงของกฎหมายแบงก์ชาติ จะเห็นว่าไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง มามีอำนาจเหนือการตัดสินใจมากจนเกินไป มีเพียงช่วงสั้นที่อาจจะมีคนการเมืองเข้ามา จึงมีกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสรรหา จะต้องไม่เป็นข้าราชการในปัจจุบันเพื่อป้องกันไม่ให้การเมืองเข้า แทรกแซง-ครอบงำแบงก์ชาติ จนทำให้ความเป็นอิสระ ในฐานะธนาคารกลางเสียไป แต่แปลกตรงที่เที่ยวนี้ไม่มีตัวแทนที่เคยเป็นอดีตผู้ว่าฯอยู่ในคณะกรรมการคัดเลือก

อย่าลืมความเป็นอิสระของนโยบายการเงินเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างมาก มีงานวิจัยและประสบการณ์จากทั่วโลกมารวมทั้งงานวิจัยของไอเอ็มเอฟ (IMF) ระบุว่าถ้าตลาดไม่เชื่อมั่นในความเป็นอิสระ แบงก์ชาติตลาดจะปั่นป่วนผันผวน และไม่เชื่อใจ ทั้งประเด็นการควบคุมเงินเฟ้อ และวินัยทางด้านการเงินการคลังส่งผลให้ประเทศสูญเสียความน่าสนใจในการลงทุน และการแข่งขันในเวทีโลก อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกซึ่งจะกระทบภาพรวมเศรษฐกิจ 

รัฐบาลจะเล่นเกมนี้ ต้องคิดด้วยความรอบคอบและชอบธรรมเพราะนั่นเท่ากับกำลังเล่นกับไฟ เราเตือนคุณแล้ว

บทความอื่น ๆ ของ “เศรษฐศาสตร์นอกกะลา”

เพื่อไทย VS แบงก์ชาติ คู่กัดตลอดกาล

“คนไทยไร้ทักษะ”​ วิกฤติใหญ่ของชาติ

×

Share