คงไม่มีใครคาดคิดว่าลมจากทะเลเหนือในทวีปยุโรป ซึ่งผู้คนพึ่งพาพลังงานลมที่ส่งจากตอนเหนือมายังตอนกลางของทวีปอยู่ดี ๆ จะเกิด “วันลมนิ่ง” หรือลมหยุดพัด หรือหันมาดูที่ประเทศไทย ที่ในช่วงกลางเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงที่เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่กลับมีบางเวลาที่อากาศมืดครึ้มเหมือนฝนจะตก
เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่เหนือการควบคุม ทั่วโลกจึงร่วมมือร่วมใจกันดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเดินหน้าเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะบรรดาธุรกิจโรงไฟฟ้า ที่ต่างก็พยายามเสาะแสวงหาพลังงานหมุนเวียนมาทดแทนการใช้พลังงานดั้งเดิม อย่างฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า แต่การจะลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงที่เป็นถ่านหินหรือน้ำมันเสียทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาจจะเกิดปัญหาความมั่นคงหรือความไม่เสถียรของพลังงานได้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ความสมดุลและจังหวะ
“Climate Change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ทำให้ต้นทุนในชีวิตสูงขึ้น ถ้าเราทบทวนสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้น ยังมีความเสี่ยงที่จะรีบเร่งทำพลังงานหมุนเวียนแบบสุดขั้ว” นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวระหว่างแถลงข่าวถึงกลยุทธ์และการขับเคลื่อนธุรกิจปี 2568
“ทำเร็วไปก็ไม่ใช่ว่าจะดี การทำในจังหวะที่ถูกที่ควร เป็นเรื่องสำคัญกว่า โดยมีเป้าหมายคือ Carbon Neutral (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) และสร้างความยั่งยืนให้การลงทุน” เขากล่าวพร้อมสำทับว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน พลังงานฟอสซิลยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของการจ่ายกระแสไฟฟ้า
ปัจจุบันสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนยังเน้นที่กำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล 72.5% แต่ราช กรุ๊ป ก็มองหาการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ทั้งพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor) หรือ SMR รวมทั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System) หรือ BESS
พร้อมลงทุน SMR
ดูเหมือนว่าทางราช กรุ๊ป จะให้ความสนใจใน SMR เป็นพิเศษ โดยระบุว่า เป็นพลังงานทดแทนที่เป็นคำตอบของ Net Zero Emissions โดยปีนี้จะเริ่มเดินหน้าให้ความรู้เกี่ยวกับพลังงานชนิดนี้กับประชาชนก่อน
“หลายประเทศรวมทั้งหลายบริษัทในประเทศไทยกำลังพูดถึง SMR มากขึ้น เราคงไม่ถามว่า (SMR) จะมาหรือไม่มา เพราะอยู่ในกระแสแล้ว ถ้ารัฐบาลไฟเขียว เราก็พร้อมลงทุน เราเคยมีแผนร่วมดำเนินการกับประเทศจีนมาก่อนหน้านี้ เราเป็นรายแรกที่ศึกษา จึงไม่ได้เริ่มจากศูนย์” นิทัศน์กล่าว
ขณะนี้บริษัทฯ ได้ร่วมกับทางเครือสหพัฒน์ ศึกษาเทคโนโลยีเครื่องปฎิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ และในปีนี้จะเริ่มให้ข้อมูลและความตระหนักรู้กับประชาชนว่า SMR คืออะไรและมีอันตรายหรือไม่อย่างไร และในเดือนกรกฎาคม จะจัดงาน Nuclear Energy and SMR Forum เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นพลังงานที่มีศักยภาพที่สามารถตอบสนองภาคอุตสาหกรรม และประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจก
SMR คือ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่ย่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดยักษ์ให้มีขนาดเล็กลง ใช้ความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันแทนการเผาไหม้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จึงไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยออกแบบเครื่องปฏิกรณ์ให้อยู่ในรูปแบบโมดูล ซึ่งมีกำลังการผลิตน้อยกว่า 300 เมกะวัตต์ต่อโมดูล
ไม่ทิ้ง กรีนไฮโดรเจน
ส่วนพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว ทาง ราช กรุ๊ป มองว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกแต่อาจจะไม่ง่าย เทคโนโลยีปัจจุบันมีความพร้อมแล้ว แต่ราคายังสูง และต้องการการอุดหนุนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงยังไม่เกิดความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์
“ไฮโดรเจนสีเขียว ก็ยังคงเป็นความหวังของชาวโลกในการแก้ปัญหา Climate Change เรายังไม่ยอมแพ้ ยังคงเกาะกระแสอยู่” นิทัศน์กล่าว
ทางราช กรุ๊ป ร่วมมือกับโรนิตรอน ผู้ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานสะอาดสัญชาติไทย และ เอไอเอฟ กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่จากประเทศลาว ศึกษาและแสวงหาโอกาสในการพัฒนาโครงการกรีนไฮโดรเจนและกรีนแอมโมเนียจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยและลาว เหตุผลที่เน้นทำที่ลาวเพราะเป็นประเทศที่เหมาะสมเนื่องจากมีความร่ำรวยทางพลังงานหมุนเวียนและราคาที่ดินยังไม่แพงมาก
ไฮโดรเจนสีเขียว เป็นไฮโดรเจนที่ผลิตได้จากกระบวนการ Electrelysis หรือการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้า นับเป็นมิติใหม่ที่แตกต่างจากไฮโดรเจนกลุ่มเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะแหล่งพลังงานที่ใช้ทั้งหมดจะเป็นพลังงานหมุนเวียน ในกระบวนการผลิตจึงมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อมน้อยมาก จนถึงระดับที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาเลย แต่ก็เป็นรูปแบบการผลิตที่ยังมีต้นทุนสูงมาก
สำหรับ BESS ปัจจุบัน บริษัทย่อยของราช กรุ๊ป ในออสเตรเลียได้พัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี โดยได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Kemerton ในออสเตรเลีย
BESS คือระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ที่นิยมใช้กับแหล่งพลังงานหมุนเวียนต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อช่วยลดความผันผวนในระบบไฟฟ้าที่เกิดจากความไม่คงที่ของแหล่งพลังงานเหล่านี้
ตั้งเป้าเพิ่มพลังงานสีเขียวเป็น 30% ใน 5 ปี
ปัจจุบัน บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน รวม 10,815 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งสิ้น 7,843 เมกะวัตต์ หรือ 72.5 % และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,972 เมกะวัตต์ หรือ 27.5 %
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 30 % ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และร้อยละ 40% ในปี 2578
มุ่งปรับพอร์ตสินทรัพย์
ในปีนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจ เพื่อปรับทิศทางการดำเนินงานให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต จึงมุ่งเป้าที่การปรับพอร์ตสินทรัพย์ด้วยการจัดกลุ่มสินทรัพย์และกำหนดกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์แต่ละกลุ่มให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยครอบคลุมตั้งแต่
- การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาใช้ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การนำโรงไฟฟ้าเดิมมาปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ โครงการ Synchronous Condenser ของโรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานของโรงไฟฟ้ามาใช้สนับสนุนเสถียรภาพระบบไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์
- การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้วและสินทรัพย์ที่ดินเป็นธุรกิจใหม่หรือโครงการใหม่
- การเข้าลงทุนซื้อหุ้นจากพันธมิตรเดิมในโครงการที่ยังมีมูลค่าทางธุรกิจ
- การปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพสินทรัพย์ให้สอดรับกับเป้าหมายธุรกิจของบริษัทฯ และลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่
เตรียมลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่ม
นอกจากการปรับพอร์ตสินทรัพย์แล้ว ในปีนี้บริษัทฯ ยังมุ่งขยายการลงทุนโดยให้ความสนใจในโครงการพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2593 ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อให้บริษัทฯ มีรายได้มั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการพลังงานทดแทนแล้ว 12 โครงการ และมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณ 1,700 เมกะวัตต์
ตั้งงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท
บริษัทฯ เตรียมงบประมาณลงทุนไว้ 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนโครงการใหม่ ๆ และโครงการที่ได้ลงทุนแล้วซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง โดยในปีนี้มีจำนวน 3 โครงการที่กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง1 ในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ NPSI ในฟิลิปปินส์
ส่วนประเทศเป้าหมายของการลงทุนยังเน้นที่ประเทศไทยเป็นหลัก นอกจากนั้นก็มี ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ลาว เวียดนามและฟิลิปปินส์
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ใช้ ISSB มาตรฐานเดียวไม่พอตอบโจทย์ความยั่งยืน
DHL ขับเคลื่อนแผน “Strategy 2030” รับเทรนด์โลก หนุนไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์อาเซียน
เนสท์เล่สานต่อแคมเปญ ‘เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้’ กระตุ้นผู้บริโภคร่วมลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก