Share on
×

Share

สัญญาณ…’รัฐบาลถังแตก’

หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย สถานการณ์เศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน ที่ฟื้นตัวค่อนข้างเร็วจนเกือบจะเรียกว่าเข้าสู่ภาวะปกติ ยังคงมีแต่ประเทศไทย ที่เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้า ๆ ล่าสุด ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จีดีพีโตแค่ 1.6% เท่านั้น ถือว่าต่ำมาก ๆ แม้เศรษฐกิจภาพรวมจะโตต่ำเตี้ยเรี่ยดินสวนทางชีวิตจริงของคนไทย ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน รายรับไม่พอรายจ่าย

ขณะที่ประชาชนมีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง รัฐบาลกลับมือเติบใจใหญ่ ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายด้วยโยบายประชานิยม ลด แลกแจก แถม โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท แจกไปแล้ว 2 เฟส ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาด พายุหมุนเศรษฐกิจไม่มาตามนัด กระทั่งล่าสุด นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ออกมายอมรับว่า โครงการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 คนละ 1 หมื่นบาทต้องพับไปก่อน ต้องดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงมาตรการภาษีของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ที่ไทยโดนหางเลขจะเป็นอย่างไร ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณไม่ค่อยดี

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเคยโยนหินถามทางเรื่องออกพระราชกำหนดกู้เงินเพิ่มพิเศษ นอกเหนือไปจากการกู้ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ปริ่มเพดาน ตลอดจนโยนหินถึงการ “ขยับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ” จาก 70% ของจีดีพีเพื่อรองรับการกู้เพิ่มอีกด้วย แม้ว่าล่าสุด ระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2568 มีสัดส่วนอยู่ที่ 64.42% หรือจำนวน 12 ล้านล้านบาทเศษก็ตาม แต่มีเสียงค้านไม่น้อย ในที่สุดเรื่องค่อย ๆ เงียบหายไป นี่เท่ากับส่งสัญญาณว่ารัฐอาจไม่มีเงินแจกเฟส 3 เพราะต้องเก็บกระสุนเอาไว้รับมือกับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า

ขณะเดียวกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ พิชัย ชุณหวิชระ รัฐมนตรีคลังโยนหินถามทาง เสนอแนวคิดปรับปรุงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยจะให้ธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีแต่เกิน 1.5 ล้านต่อปีเสีย VAT 1% ซึ่งประเมินว่าหากสำเร็จจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

นั่นหมายความว่า หากรัฐสามารถขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่มได้กว้างขึ้น ธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เข้าระบบมากขึ้น จะทำให้รัฐบาลจัดทำงบฯขาดดุลต่ำลง ปัจจุบันขาดดุลอยู่ที่ 4.4% ของจีดีพี อาจเหลือแค่ 3.5% แต่กระทรวงคลังกลับอ้างเหตุผลในถอนขนห่านรายย่อยว่าเป็นเพราะปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาทำธุรกิจ แต่มักจะยื่นแบบรายได้ของธุรกิจให้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เพื่อไม่ต้องเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงมีแนวคิดให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในระบบ

คำอธิบายของรัฐมนตรีคลัง ไม่น่าจะถูกต้องทั้งหมด อาจจะมีผู้ประกอบการบางคนที่คิดแบบนี้ แต่คงเป็นส่วนน้อย เชื่อว่าส่วนใหญ่อยากจะโต อยากจะขยายกิจการ แต่เจตนาลึก ๆ ของกระทรวงคลังเพื่อหารายได้อุดรูรั่วที่รัฐถังแตก

ยิ่งในการประชุมครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีการประชุม “วาระลับ” ปรับขึ้นภาษีน้ำมันลิตรละ 1 บาท เนื่องจากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) พลาดเป้า ทำให้รายได้ยังต่ำกว่าเป้าหมายค่อนข้างมาก โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 21,321 ล้านบาท หรือต่ำเป้าไป 7.4% หากขึ้นภาษีน้ำมันจะช่วยให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มเดือนละประมาณ 2,900 ล้านบาท กรณีนี้ แม้ราคาน้ำมันขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในแง่จิตวิทยาค่าขนส่งและสินค้าแห่ขึ้นราคาตามแน่ ๆ

คงต้องยอมรับฐานะการคลังตอนนี้ อยู่ในสภาพตึงตัวอย่างเห็นได้ชัด จากการที่รัฐบาลเก็บรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จนต้อง “ขาดดุลงบประมาณ” ทุกปี และยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี การขาดดุลก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ในปีงบประมาณ 2568 ผ่านมาครึ่งทาง ตัวเลขล่าสุด รัฐบาลเก็บรายได้สุทธิแล้ว 1.195 ล้านล้านบาทเศษ เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เก็บได้เพิ่มขึ้น 26,503 ล้านบาท หรือ 2.3% เท่านั้น

แต่หากเอ็กซ์เรย์เข้าไปดูไส้ใน พบว่าจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าไปเพียง 1,807 ล้านบาท หรือ 0.2% เท่านั้น เรียกว่าปริ่ม ๆ เป้า ยิ่งเจาะลึกเข้าไปอีกจะพบว่า การจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษี ทำได้รวมกันที่ 1.28 ล้านล้านบาท ต่ำกว่างบประมาณไป 15,399 ล้านบาท หรือต่ำเป้า 1.2% มีแค่กรมสรรพากรที่จัดเก็บได้ 10,157 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้า 1.1% เท่านั้น ส่วนอีก 2 กรมที่เหลือ ล้วนกว่าเป้าทั้งสิ้นกรมสรรพสามิต จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 21,321 ล้านบาท หรือต่ำเป้า 7.4% และกรมศุลกากร จัดเก็บต่ำกว่าประมาณการ 4,235 ล้านบาท หรือต่ำเป้า 6.9%

สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำเร่งด่วนที่สุด ต้องเลิกโครงการแจกเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทันที เพราะไม่ได้ผล นอกจากนี้การใช้งบประมาณต้องมีประสิทธิภาพประหยัดรายจ่ายที่เกินความจำเป็น เช่น ทบทวนแผนสร้างตึกหน่วยงานราชการที่หรูหรา ในระยะยาวต้องลดจำนวนข้าราชการ ยุบหน่วยงาน องค์กรอิสระบางหน่วยที่ไม่ได้มีประโยชน์เพื่อลดค่าใช้จ่ายทบทวนการลงทุนในโครงการที่ไม่เร่งด่วน

การจัดเก็บภาษีต้องมีประสิทธิภาพ ลดการรั่วไหล รวมถึงต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างภาษีให้เป็นแบบก้าวหน้าจริงจัง กับการปฏิรูปอุตสาหกรรม ยกระดับเพิ่มมูลค่า เพื่อหารายได้เข้าประเทศ ที่สำคัญต้องเร่งปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง แต่ละปีประเทศต้องสูญเสียเม็ดเงินกับการทุจริตหลายหมื่นล้านบาทอย่างน่าเสียดาย

สัญญาณเตือนจาก “มูดีส์” เป็นสัญญาณอันตรายยิ่งทำให้รัฐต้องเร่งหาทางลดการขาดดุลลงโดยเร็วที่สุดไม่เช่นนั้นวิกฤติแน่ ๆ

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ทีมเจรจาไทย อย่าหลงประเด็น

‘ส่งออกศูนย์เหรียญ’ ทำไทยป่วน

ระบบอุปถัมภ์-ข้าราชการ กับดักสู่ปัญหาวิกฤติของชาติ

×

Share