การพูดคุยกับ “ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” หรือ พีพี เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ The Story Thailand ได้รับคำถามกลับมาให้ตอบในช่วงไม่กี่นาทีที่กำลังเริ่มต้นการสัมภาษณ์ คำขออย่างสุภาพให้เราอธิบายว่า “ทำไมจึงถามคำถามนี้” และอีกหลายประโยคจากบทสนทนาที่เกิดขึ้นล้วนสามารถสะท้อนตัวตนน่าสนใจของ “Postdoc” หรือนักวิจัยหลังปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์วัย 28 ปี ผู้กำลังก้าวไปมีบทบาทที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
Postdoc หนุ่มแน่นคนนี้บอกเต็มเสียงว่า “โดราเอมอน” เป็นเรื่องของ AI กับมนุษย์ และเจ้าหุ่นยนต์เหมียวสีฟ้านี้คือแหล่งแรงบันดาลใจที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างของ “AI ที่มีความเป็นมนุษย์” ด้วยพื้นฐานที่เป็นคนชอบเชื่อมโยงความรู้หลากหลายแขนงเข้าด้วยกัน ทั้งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และปรัชญา ชีวิตในขวบปีล่าสุดของพีพีจึงถูกเทความสนใจไปที่การสร้างนวัตกรรมที่มีความเป็นอนาคต เพื่อเชื่อมโยงสิ่งที่ดูเหมือนเชื่อมกันไม่ได้ ให้เข้ากันได้
จากสิ่งที่หล่อหลอมตัวตนตั้งแต่เด็ก วันนี้พีพีมองตัวเองเป็น “scholar” มากกว่า “tech guy” ความพยายามล่าสุดของพีพีคือการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและความเป็นคน เพื่อให้เกิดเป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม ทั้งหมดนี้ พีพีจุดประกายเยาวชนให้เน้นเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเอง (learning) มากกว่าการศึกษาแบบดั้งเดิม (education) ที่สำคัญคือควรจะสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ หากต้องการก้าวไปเป็นนักคิดที่มีความหลากหลายอย่างน่าประทับใจเหมือนพีพี
เมื่อ”พีพี” มองตัวเอง
เมื่อถามว่าพีพีประเมินตัวเองให้เป็นตัวแทนของบางสิ่งในช่วงเวลานี้ พีพีถือว่าเป็นตัวแทนของอะไร? แทนที่จะเลือกตอบตามสื่อไทยที่เคยยกให้พีพีเป็น “ตัวแทนเด็กไทยในเวทีโลก” หรือ “ตัวแทนความเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่” หรือ “ตัวแทนความเป็นคนชอบสิ่งไหนแล้วไปให้ถึง” พีพีกลับตั้งคำถามแก้ความสงสัยให้ตัวเอง และขอให้ The Story Thailand อธิบายว่าทำไมจึงถามคำถามนี้ เพราะอยากให้พีพีพูดถึงตัวเอง เนื่องจากภาพลักษณ์ของพีพีจากมุมมองคนภายนอกนั้นต่างกันไปหลากหลายแบบ ซึ่งคำถามนี้จะบอกได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว พีพีมองตัวเองว่าเป็นอย่างไร
จากภายนอก คนทั่วไปมองเห็นพีพีเป็นเด็กหนุ่มจากปัตตานีที่มีความสามารถโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากเด็กชายที่มีความเชื่อมั่นในการสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคต จนได้รับเชิญให้พูดบนเวที TED x ASU ในหัวข้อ “Prototyping the Impossible” ก่อนหน้านี้ พีพีเคยเล่าเรื่องการเข้าร่วมโครงการ JSTP (Junior Science Talent Project) ตั้งแต่มัธยมต้นว่าเป็นเหมือน “โรงเรียน X-Men” การร่วมก่อตั้ง Futuristic Research Group (Freak Lab) และสร้างนวัตกรรมเพื่อโลกอนาคต เช่น เครื่องพรินอาหารที่ควบคุมด้วยคลื่นสมอง และเครื่องพรินอาหารสำหรับนักบินอวกาศร่วมกับ GISTDA และ JAXA ซึ่งหลังจากจบการศึกษาจาก Arizona State University และ MIT Media Lab พีพีกำลังก้าวไปเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
แต่สำหรับมุมมองภายใน พีพีมองตัวเองเป็นคนที่เชื่อมโยงความรู้หลายแบบเข้าด้วยกัน เพราะเป็นคนที่สนุกกับการได้เชื่อมโยงต่อจุดหรือ connect the dot และลงมือสร้างอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งสุดท้ายแล้วพีพีเป็นคนที่สนใจเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และต้องการสร้างให้เกิดนวัตกรรมอะไรบางอย่างที่มีความเป็นอนาคต
นอกจากนี้ ความเป็นอนาคตของพีพียังไม่ได้มีเฉพาะเรื่องหุ่นยนต์ ไซบอร์ก หรือ AI อย่างเดียว แต่คือความเป็นไปได้ของสิ่งใหม่ที่ทำให้โลกใบนี้มีทางไปต่อ อาจเป็นหนทางในการ connect สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะ connect กันไม่ได้ในวันนี้ รวมถึงการ connect ศาสตร์หลายอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และแม้แต่ปรัชญา ซึ่งถ้าดูงานวิจัยทั้งหมดที่พีพีทำขึ้นจะพบว่ามีทั้งเทคโนโลยี จิตวิทยา ศิลปะ และอีกหลายสิ่งรวมเข้าด้วยกัน พีพีจึงคิดว่าตัวเองเป็นตัวแทนในส่วนนี้
“โดยส่วนตัวแล้ว พีพีมองตัวเองเป็นคนชอบเรื่องที่มีความต่างกัน และชอบหาความเชื่อมโยงใหม่ คู่กับการหาอะไรที่คนอื่นเขาไม่คิดกัน แต่พีพีรู้สึกว่าถ้า connect ตรงนั้นได้แล้วมันจะน่าสนใจ หรือมันดูมีความหมาย ซึ่งนี่คือความสนใจส่วนตัวที่เป็นธรรมชาติหรือ nature ที่พีพีมีในตอนเด็ก”
เด็กชายพีพีไม่ได้มองเห็นว่าเจ้าหุ่นยนต์แมวสีฟ้าโดราเอมอนเป็นเรื่องของ AI กับมนุษย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ซึ่งแม้ตอนนั้นจะยังไม่รู้ แต่พีพีอธิบายว่านี่คือการเห็นภาพอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า โดราเอมอนนั้นสามารถมอบความเป็นไปได้ทุกอย่าง เช่นย้อนอดีต ไปอนาคต ขึ้นอวกาศ หรือแม้ใต้พิภพและใต้ทะเลก็ล้วนทำได้ พีพียอมรับว่านี่คือโลกที่น่าสนใจ และรู้สึกว่าถ้าตัวเองทำอะไรบางอย่าง ก็อยากจะมีความสนุกในวัยเด็กแบบนั้นในสิ่งที่ทำอยู่ทุก ๆ วันนี้
“แม้ว่าสิ่งที่พีพีทำจะซีเรียส อาจจะพูดถึงเรื่องของอนาคตของมนุษยชาติ ผ่านเทคโนโลยีใดก็ตาม แต่พีพีรู้สึกว่า Essence หรือแก่นของพีพีคือวัยเด็กแบบนั้น ที่รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้ โดราเอมอนถือเป็น AI ที่ดีในสายตาของพีพี เพราะมีความเป็นมนุษย์สูง เห็นได้จากโดราเอมอนไม่ได้ทำให้โนบิตะรู้สึกด้อยค่าลง หรือทำให้โนบิตะต้องไปทำงานหนัก เหมือนอย่างตอนนี้ที่มีกระแสว่าทุกคนควรต้องทำงานหนักเพราะมี AI พีพีว่าความเป็นคน คือการได้เติบโต ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจตัวเอง ได้เข้าใจโลกกว้าง งานของพีพีจะโฟกัสเรื่องอะไรแบบนี้”
พีพีไม่ได้มองตัวเองเป็นคนด้านเทคโนโลยีหรือ Tech guy โดยบอกว่า Tech guy ในสหรัฐและไทยแตกต่างกัน พีพีมองว่าตัวเองเป็น scholar (สกอลาร์) คือเป็นนักคิด คือเป็นคำที่ลึกซึ้งและศักดิ์สิทธิ์มากกว่าคำว่านักวิชาการ การเป็น scholar สำหรับพีพีนั้นน่าสนใจเพราะหมายถึงการเป็นคนที่มีสติปัญญา และการให้คุณค่าหรือสิ่งดีงาม-ถูกต้องนั้นเติบโตไปพร้อมกัน
“พีพีคิดว่าคนที่เป็น scholar จึงจะแบ่งได้ว่าเป็น scholar ด้านไหน เช่น ด้านเทคโนโลยี หรือด้านวิศวกรรม แต่ในขณะเดียวกัน scholar ก็คำนึงถึงความเป็นมนุษย์เท่า ๆ กัน พีพีพยายามที่จะหาจุดสมดุล ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหาได้หรือเปล่าในทุกวันนี้ แต่รู้สึกว่าถ้า 2 อย่างมันไปด้วยกัน มันก็น่าจะนำไปสู่สังคมที่ดี คือสังคมที่เราไม่ได้บอกว่า Tech นำ หรือว่าความเป็นมนุษย์นำจนทำให้เราไม่เข้าใจ ว่าอะไรคือความก้าวหน้า หรือความเป็นไปได้ พีพีว่ามันคือความการ balance ทั้ง 2 อย่างนี้ให้ไปด้วยกัน พีพีคิดว่าพีพีพยายามเข้าใจว่ามันอยู่ตรงไหน และพยายามที่จะทำให้งานตัวเองสะท้อนตรงนี้ออกมา”

born to be และ practice to be ต้องมาคู่กัน
จากการเรียนรู้กับคุณพ่อคุณแม่ พีพียอมรับว่าตัวเขามีความคิดความเข้าใจบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว เหมือนกับการชอบไดโนเสาร์ โดราเอมอน และอะไรต่าง ๆ ที่ทำให้พีพีรู้สึกตื่นเต้นกับความรู้
“คุณแม่พีพีเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนด้านการศึกษา คุณพ่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ทำงานที่หน่วยงานรัฐบาล พีพีก็ balance ทุกอย่างแบบ practical และ imagination เรามีตรงนี้อยู่ แต่ว่าในขณะเดียวกัน ความตื่นเต้นทำให้เราฝึกฝนตัวเอง และพยายามจะทำให้งานที่เราทำมันแหลมคมขึ้น จากการ practice หลายครั้ง ซึ่งตอนนี้เหมือนว่างานของพีพีไปในหลายมิติ มันมีทั้งมิติศิลปะพีพีทำกับพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) หรือว่าศิลปินคนอื่น เช่น พี่พิเชษฐ์ กลั่นชื่น และช่วงพฤศจิกายนนี้จะมีหนังออกกับ Netflix มันจะลับคมความคิดของเรา ให้มันออกมาได้ในหลาย ๆ แบบ”
จุดมุ่งหมายของการทำงานของพีพี คือการรับความสุขจากการได้แสดงออกทางความคิด ทั้งไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ จะเป็นสินค้าหรือเป็น project หรือเป็นงานวิจัย ทั้งหมดคือชีวิตที่น่าประทับใจและพีพีรู้สึกดีกับการได้ส่งความคิดของตัวเอง ออกมาเป็นความสนุกอีกแบบหนึ่ง
“ในขณะเดียวกัน เราก็มีความหวังว่าสิ่งที่เราทำมันน่าจะไปจุดแรงบันดาลใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เพราะเราก็อยากให้บ้านเรา สังคมเรามันดีขึ้น เป็นสิ่งที่พีพีว่ามันอยู่ในใจของหลายคน ที่รู้สึกว่าถ้าตัวเองมีโอกาส ก็อยากจะทำอะไรบางอย่างขึ้นมา ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่เราก็ได้ทำแล้ว”
แม้จะประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา แต่พีพีไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนเรียนเก่งหรือเรียนรู้เก่ง แถมบอกว่าเป็นคนที่ “สอบไม่เก่ง” ตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบการเรียนในระบบ แค่ถือว่าเรียนได้โอเคในระดับที่ผ่านมาได้เท่านั้น
“ที่ MIT จะมีคติว่า Education คือสิ่งที่คนอื่นทำให้เรา แต่ Learning คือสิ่งที่เราทำให้ตัวเอง พีพีเป็นคนสอบไม่เก่ง พีไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียนเพื่อสอบ ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่รู้สึกว่าเรา enjoy กับการเรียนรู้ กับการได้ดูการ์ตูนแล้วจินตนาการตาม เราเข้าใจ เราลึกซึ้งมากกับสิ่งที่เราได้ดูแล้วอยากเข้าใจ ว่าโดราเอมอนในการ์ตูนนี้มีฉากปลาตัวนี้ ปลาตัวนี้คืออะไร หรือไดโนเสาร์เป็นอย่างไร เรา enjoy กับการเรียนรู้ แต่พีไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสอบ ทำไมเราต้องไปโชว์ด้วยว่าเราเรียนรู้สิ่งนี้แล้ว ทำไมเวลาเราสอบเสร็จแล้วเราโยนทิ้งไปได้ แล้วเราเรียนไปทำไม พีพีมีปัญหากับเรื่องนี้มาก”
สำหรับเรื่องที่กำลังสนใจเป็นพิเศษในเวลานี้ พีพีบอกว่านี่เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อหลังจากจบปริญญาเอก เพราะการจบปริญญาเอกเป็นสิ่งที่คาดหวังสูงจากผู้คนรอบด้าน พีพีจึงต้องทุ่มเทและโฟกัสกับการเขียนวิทยานิพนธ์ออกมาให้ได้ และต้องวางแผนว่าสิ่งที่ทำขึ้นมาแล้ว จะไปต่ออย่างไร ซึ่งหลังจากการสร้างเป็น product การทำ research และการมี paper งานวิจัยได้แล้ว ในงานพีพียังมีพูดถึงการแนะนำเชิงนโยบายด้วย ว่า AI ในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น งานวิจัยของพีพีจึงมีอิมแพคในหลายด้าน และต้องเค้นทุกอย่างออกมา
“วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของพีพีคือเรื่อง Cyborg Psychology: The Art &Science of Design Human-AI System for Human Flourishing ภายใต้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีการแนะนำนโยบายสำหรับทุกประเทศทั่วโลก ว่าจะดีไซน์อย่างไร ให้ AI เหมาะกับจิตวิทยาของมนุษย์ อันนี้คือหัวข้อที่ผมสนใจ”
ในขณะที่ผู้คนมักจะพูดว่าทำอย่างไรให้ AI ไม่หลอกลวง ข้อมูลไม่ผิดพลาด หรือทำอย่างไรให้ AI ไม่ทดแทนแรงงานคน แต่พีพีบอกว่าเรากำลังไม่ให้ความสนใจว่า AI จะส่งผลต่อจิตวิทยาของคนอย่างไร ดังนั้น พีพีจึงมุ่งโฟกัสที่นี่ ทำให้งานวิจัยทั้งหมดที่ทำล้วนเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาทั้งหมด
“พีพีคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะว่าคนมีอารมณ์และความรู้สึก จึงเกิดเป็นคำถามว่า AI ทำให้เรารู้สึกด้อยค่าตัวเองหรือเปล่า? AI ทำให้รู้สึกว่าเรามีพลังมากขึ้นไหม? แล้วเราจะทำอย่างไรให้ AI สร้างจิตวิทยาที่ดีให้กับคน? พีพีว่านี่เป็นคำถามที่พื้นฐานมาก แต่ว่ากระบวนการอาจจะซับซ้อน และต้องการความรู้จากหลายสาย”
งานของพีพีจึงนอกจากจะเป็นเอกสารงานวิจัยแล้วยังจะสร้างแรงกระเพื่อมได้ด้วย 4 ส่วน ส่วนแรกคือความพยายามสร้างกระบวนการที่คนอื่นทำต่อได้ พีพีอธิบายว่าหมายถึงแอคชั่น จากในช่วงก่อนหน้านี้ที่มักมีการศึกษา AI ด้วยการทดสอบว่าเป็น AI ที่ดีหรือไม่ดี แต่ตอนนี้ พีพีบอกว่าจะ ต้องมีการทดสอบทางจิตวิทยาของคนใส่เข้าไปด้วย ก็เป็นกระบวนการที่ลึกซึ้งขึ้นอีกในการที่จะเข้าใจว่า AI มีผลกระทบกับคนอย่างไร
ส่วนที่ 2 คือตัวอย่างของโครงการที่พีพีทำนั้นไม่จบแค่ในตัวมันเอง แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนเห็นว่าการจะสร้าง AI ที่ส่งเสริมการเติบโตของผู้คนหรือ Human Folishing คือการงอกเงยทางความคิดทางปัญญา ซึ่งตัวอย่างที่เห็นชัดคือฟิวเจอร์ยู (Future You) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างงานวิจัยที่พีพีทำกับ KBTG ซึ่งเป็นตัวอย่างทำให้ AI ช่วยมนุษย์ให้มีความงอกงามทางปัญญา 3 ด้านคือด้าน Wisdom สติปัญญา Wonder แรงใจ และการอยู่ดีกินดี หรือ Well Being ถือเป็น 3 พื้นที่ “WWW” ที่พีพีทำแล้วและโชว์ให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
ส่วนที่ 3 คือการสร้างให้เกิดศาสตร์ใหม่ เช่นคำว่า Cyborg Psychology ซึ่งพีพีคิดว่าเป็นศาสตร์ย่อยเหมือนชีววิทยา เคมี และฟิสิกส์ ที่ศึกษาสิ่งมีชีวิต ศึกษาสารเคมี และศึกษาฟิสิกส์ แต่ถ้าเราจะศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI อาจจะต้องมีการบันทึกศาสตร์ใหม่ที่จะมารองรับสิ่งนี้ โดยอาจเป็นคำว่า Cyber Psychology ก็ได้
ส่วนที่ 4 คือ Policy Recommendation เพราะงานวิจัยของพีพีจะแนะนำด้วยว่าถ้าบริษัทหน่วยงานรัฐบาลหรือใครก็ตามแต่ที่สนใจ AI จะต้องปรับนโยบายใดบ้าง โดยอาจจะเป็นนโยบายใหม่ที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน
พีพีเสนอว่าทุกบริษัทที่ทำ AI จะต้องมีนักจิตวิทยาเข้ามาอยู่ด้วย เพราะว่าผลกระทบของ AI มันทำงานกับจิตวิทยาของคน ดังนั้นจึงต้องมีคนนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่นักกฎหมายที่มาดูว่าใช้ AI แล้วละเมิดหรือเปล่าหรือไม่ แต่จะต้องมี นักจิตวิทยามาดูด้วย ว่ากระทบจิตใจของคนในแบบที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร

โดราเอมอน = AI+จิตวิทยา
เมื่อถามถึงที่มา พีพีเล่าย้อนว่าสิ่งที่ทำให้สนใจผลกระทบด้านจิตวิทยาของคนจาก AI คือเรื่องโดราเอมอน ซึ่งเป็นภาพจำของพีพีว่า AI คือโดราเอมอน
“AI = โดราเอมอน เป็นมุมมองจากการที่เห็นว่าสิ่งไม่มีชีวิตที่มีสติปัญญานั้นเป็นแบบนี้ มันสามารถทำให้โนบิตะเรียนรู้ได้ดี ทำให้โนบิตะกลายเป็นคนที่มีคุณภาพได้ พีพีคิดว่านี่คือภาพในหัวพีพีตั้งแต่เด็ก ๆ ความจำที่ฝังใจคือหลายคนอาจจะรู้จัก AI จากสิ่งอื่น แต่พีพีรู้จักผ่านโดราเอมิน จึงเป็นภาพจำฝังในหัว ว่านี่คือสิ่งที่ AI สามารถเป็นได้”
เมื่อพีพีรู้สึกว่าแนวคิดนี้สมเหตุสมผล และควรจะเป็นแบบนั้น แต่ปัจจุบันแนวคิดนี้ยังไม่ถูกหยิบมาดำเนินการ พีพีจึงจะวางแผน “ทำเอง” ด้วยการโฟกัสกับสิ่งที่พีพีคิดว่าเข้าใจในเชิงที่ลึกซึ้ง เพราะพีพีเป็นคนและสัมผัสได้ว่าสิ่งนี้กระทบกับพีพีอย่างไร ก่อนจะออกแบบให้ไม่เกิดผลกระทบอย่างนี้กับผู้อื่น
สำหรับผลกระทบที่ตัวพีพีเคยได้รับโดยตรง คือความเบื่อหน่ายในการเรียน ซึ่งเมื่อรู้สึกน่าเบื่อ จึงมีการลองเปลี่ยนให้ AI มาสอน เป็นผู้ช่วยที่ไม่ได้ให้มาแทนที่ครู รวมถึงการเปิดให้ไดโนเสาร์มาร่วมสอน จุดนี้คือการพูดถึง Personalization ที่มีแนวโน้มว่าการสอนของ AI และอาจลดความน่าเบื่อลง ได้ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแต่ละคนว่าแบบไหนคือประสบการณ์ที่รู้สึกว่าลงตัวที่สุด
“ประสบการณ์ของคนถูกขับเคลื่อนด้วยจิตวิทยา ดังนั้นพีพีจึงรู้สึกว่า ถ้าเราอยากจะมีประสบการณ์ในโลกนี้ในฐานะมนุษย์ที่ดี มันก็ต้องเข้าใจถึงจิตวิทยา เข้าใจ cognitive science เข้าใจศาสตร์ที่มันเกี่ยวข้องกับมนุษย์”
หลักคิดเหล่านี้มาจากฐานครอบครัวของพีพี โดยตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่สอนพีพีว่าถ้าชอบไดโนเสาร์ การเรียนวิทยาศาสตร์หรือชีววิทยาจะทำให้เข้าใจว่าสัตว์ตัวยักษ์สูญพันธุ์ได้อย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเรียนศิลปะ ก็จะสามารถวาดเป็นและปั้นได้ รวมถึงจะระบายสีไดโนเสาร์ได้ พีพีจึงเติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยรู้สึกว่าศาสตร์เหล่านี้แยกกัน ทำให้พีพีโดดเด่นทั้งในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะ ซึ่งแม้จะดูพิเศษในสายตาคนไทย แต่พีพีมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในภาคการศึกษาสำหรับคนอเมริกันที่ทั้ง 2 ศาสตร์อยู่รวมกัน
นอกจากโดราเอมอนแล้ว พ่อแม่คือส่วนหล่อหลอมความเป็นพีพีสูงมาก พีพีมองว่าตัวเองคือตัวแทนของเด็กคนเดิมคนนั้น แต่ถูกขยายสัดส่วนให้ใหญ่ขึ้น หากเคยชอบอะไรแล้วยังไม่ได้ทำ สุดท้ายก็จะกลับมาทำในตอนท้ายที่สามารถทำได้ ดังนั้นวัยเด็กจึงสำคัญมากกับพีพี และกลายเป็นตัวที่กำหนดทิศทางชีวิตทั้งชีวิต เนื่องจากคุณค่าที่เคยเห็นในวัยเด็กนั้นฝังอยู่ในตัว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้พีพีมีวัยเด็กแบบนี้
“พีพีคิดว่าคนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเหมือนพีพี พีพีเป็นคนที่เดินในทางของตัวเองซึ่งไม่ได้แปลว่ามันดี อย่าเพิ่งตัดสินในวันนี้ ต้องดูยาว ๆ พีพีรู้สึกว่าตัวเองต้องระวังกับทุก step ของชีวิต เพราะพีพีว่าประเทศไทย โดยเฉพาะเวลากลับมาที่ไทย มันมีสิ่งล่อลวงเยอะมาก เราจะถูกล่อลวง จูงใจให้ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำมากเกินไป จนหลงตัวเองได้ง่ายมาก เราก็ต้องระวังแล้วกดตรงนี้ไว้ ต้องระวังว่ามีคนชักชวนไปทำนู่นนั่นนี่เยอะมาก เราจะต้องระวังว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะโฟกัส และควรทำโดยที่ไม่ต้องเดินตามพีพีหรอก ขอให้เดินตามในทางที่ตัวเองเป็น”
พีพีเล่าถึงสิ่งที่พ่อกับแม่เคยพูดไว้ตอนเด็ก และพบว่าเป็นเรื่องจริงในปัจจุบัน นั่นคือ “ทำอะไรแล้วไปให้สุด” ซึ่งแม้จะเป็นคำที่พูดง่าย และแทบทุกคนพูดถึง แต่ว่าคำว่า “สุด” ในที่นี้ พีพีบอกว่าหมายถึงการต้องสำรวจในหลายแง่จนสุดทาง ก่อนจะถามกับตัวเองได้ว่าทำไมจึงทำสิ่งนี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความชื่นชอบอะไร การไปให้สุดแบบนี้จะทำให้เกิดผลงาน เช่นเดียวกับ thesis เล่มล่าสุดที่พีพีเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในวันที่ AI กลายเป็นประเด็นฮอตและมีอิมแพคมากขึ้น พีพีจึงพยายามจะดันสิ่งที่ “ได้ทำให้สุด” และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ให้เกิดมี impact ขึ้นมาโดยไม่ได้ทำสนุก ๆ ไปวัน ๆ แต่เริ่มด้วยความสนุก ความรัก และหวังว่าจะเติบโตไปเป็นอย่างอื่นต่อไป
นอกจากคุณพ่อคุณแม่ อีกปัจจัยที่หล่อหลอมความเป็นพีพีในวันนี้คือประโยคในโดราเอมอน ซึ่งโดนใจพีพีมาก
“ตอนนั้นเป็นตอนที่โนบิตะร้องไห้ ว่าไม่ได้เดินทางไปที่แห่งหนึ่ง แล้วโดราเอมอนก็บอกว่าการที่จะไปโตเกียว มันไม่ได้มีทางเดียว เราจะไปด้วยรถไฟ หรือไปด้วยเครื่องบินก็ได้ ดังนั้น พีพีว่าเส้นทางการไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จ หรือนักวิจัยที่โด่งดังนั้นมีหลายเส้นทางมาก วิธีการของพีพีก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ถ้าใครได้ฟังบทสัมภาษณ์หรือได้ฟังเรื่องราวของพีพีแล้วรู้สึกมีแรงบันดาลใจ ก็ขอให้เก็บเป็นแง่มุมแนวคิดไว้ แต่ว่าการที่เราไม่ได้เดินเส้นทางนี้ ก็ยังมีเส้นทางอื่น ๆ”
ในสายตาพีพี คำแนะนำที่ดีที่สุดที่พีพีได้รับมาคือในสังคมเรามี “กับดัก” จำนวนมาก ทำให้อาจหลงไปกับชื่อเสียงหรือความสำเร็จชั่วครู่ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่เราทุกคนควรมองให้เห็นว่าอะไรคือกับดักในสังคม ที่จะทำให้เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง ตรงนี้พีพีอธิบายว่าคำยกยอสรรเสริญในต่างประเทศนั้นมีน้อยกว่าในประเทศไทย ส่วนหนึ่งเพราะผู้คนในต่างประเทศมีคนเก่งจำนวนมากและมีการพูดบอกที่ตรงไปตรงมาทั้ง สิ่งที่ไม่ดีและสิ่งที่ดี
“สิ่งไหนไม่ดี ก็บอกว่าไม่ดี สิ่งไหนดี ก็บอกว่าดี อย่างเช่นอาจารย์ของพีพีเอง ต่อให้เราสนิทกันแต่ถ้าเจอตรงไหนที่ไม่ใช่ ก็จะกาสีแดงให้แก้ไข แต่ถ้าตรงไหนใช่ ตรงไหนดี ก็ชื่นชมสุดๆ ตรงไหนไม่ดีก็เรียกมาคุย ว่าตรงนี้ยังไม่ใช่นะ ถือว่ามันมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่พีพีมองเป็นความเข้มแข็ง ต่างจากไทยที่ชื่นชอบการยกคนขึ้นมาเป็นไอดอล เป็นฮีโร่ แล้วมีแนวโน้มที่จะทำให้คน ๆ นั้นหลงตัวเอง พอหลงตัวเองแล้วไม่ได้ทำอะไรต่อ คนนั้นจะเดินต่อไปไม่ได้ ความเก่งก็หายไป สกิลก็หายไป พีพีคิดว่ามันน่าเสียดาย”
นอกจากกับดักของนักวิจัยและนักพัฒนา AI ทั้งการถูกดึงไปทำงานบริหารจนต้องทิ้งงานวิจัย และความจำเป็นต้องวิ่งหาทุนจนอาจเข้าโหมดโอ้อวดเกินจริง พีพียังย้ำถึงความสำคัญของการมี mentor และสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งช่วยชี้แนะและส่งสัญญาณเตือนไม่ให้หลงทาง บนสังคมที่เกื้อหนุนกัน และไม่เหยียบย่ำกันเมื่อมีความผิดพลาด ซึ่งล้วนเป็นความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับแวดวงการพัฒนา AI และการสร้างผลกระทบต่อสังคม

ก้าวล่าสุด ก้าวต่อไป
สำหรับงานวิจัยและโครงการสำคัญที่พีพีกำลังทำ คือการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ผลงานของพีพีมีทั้งการพัฒนาเซ็นเซอร์และอุปกรณ์สำหรับนักบินอวกาศ การศึกษาโครงสร้างระบบประสาทของ AI ซึ่งทั้งหมดมีส่วนหล่อหลอมมุมมองต่อการพัฒนาและใช้งาน AI ของพีพี นั่นคือเทคโนโลยีที่ดีควรใช้งานง่ายสำหรับคนทั่วไป และจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อจิตวิทยาและพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งในอนาคต พีพีเชื่อว่ามนุษย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาสังคม โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือ
“นอกจากที่ KBTG พีพียังทำวิจัยกับหลายที่ เช่น NASA เป็นงานวิจัยที่โฟกัสสุขภาพนักบินอวกาศ ตอนนี้พีพีกำลังเริ่มกลับมาที่ OpenAI จริง ๆ แล้ว OpenAI กับ MIT มีความสัมพันธ์กันมาสักพักแล้ว แต่ว่าโปรเจกต์ที่เราเพิ่งเริ่มทำนั้นยังบอกไม่ได้ แต่ว่าเป็นโปรเจกต์ที่มีอิมแพคสูงมาก ตัวโปรเจกต์เกี่ยวข้องกับ Generative Model สำหรับใช้งานในอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่วันนี้ ตอนนี้ยังให้รายละเอียดมากไม่ได้ แต่เป็นโปรเจกต์ล่าสุดที่เราทำร่วมกันระหว่าง MIT และพีพีเป็นหนึ่งในทีมลีดของโปรเจกต์นี้”
ไม่เพียง OpenAI หนุ่มพีพีกำลังจะเริ่มทำวิจัยที่ Harvard ในฐานะนักวิจัยครึ่งเวลาที่จะเทอีกครึ่งเวลาที่ MIT โดยโครงการที่ทำต่อกับ Harvard นั้นจะมีธีมใหญ่คือการเข้าใจ AI ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่ใช่แค่การออกแบบในระดับพฤติกรรมทั่วไป แต่จะเป็นการออกแบบในระดับระบบประสาท ที่เป็นโครงสร้างย่อยของ AI โดยพีพีเทียบว่าจะเป็นเหมือนการทำ CT Scan สมองของ AI ในลักษณะเดียวกันกับการทำ CT Scan สมองคน เชื่อว่าจะมีความสำคัญมากขึ้นในลักษณะเดียวกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์แล้วจำเป็นต้องไปพบแพทย์ ซึ่งอาจจะช่วยรักษาโรคได้เมื่อทำ CT Scan แปลว่าโลกควรต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจสิ่งนี้ จึงจะช่วยแก้ปัญหาที่อาจเกิดในอนาคตได้
“เมื่อจบปริญญาเอกแล้ว พีพีจะอัปเกรดนิดนึง เป็นโพสต์ดอค (post doctor) เรากำลังพยายามจะสร้างสถาบันใหม่ขึ้นมาที่ MIT พีพียังไปที่ Harvard แบบ 100% ไม่ได้ ยังต้องช่วยให้ MIT สร้างสถาบันนี้ได้สำเร็จ และถ้าสำเร็จ จะเกิดเป็นสถาบันใหม่ภายใต้ Media Lab ที่โฟกัสเรื่องมนุษย์กับ AI ในระยะยาว โดยขณะนี้ยังไม่มีชื่อ และยังไม่เกิดขึ้น โดยพีพีจะเป็นหนึ่งในทีมผู้รับผิดชอบสถาบันใหม่แห่งนี้ ซึ่งมีโอกาสเป็นรูปเป็นร่างได้ภายในปี 2025 เรากำลังทำงานร่วมกับผู้เล่นรายใหญ่ในโลก AI เพื่อจะสร้างโครงการนี้ขึ้นโดยโฟกัสไปที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI”
แม้จะโฟกัสกับเทคโนโลยี AI แต่พีพีเชื่อว่ามนุษย์คือผู้ที่ต้องลงมือแก้ปัญหาเรื้อรังของสังคมโลก ทั้งความยากจน ปัญหาคอรัปชั่น และความขัดแย้งอื่นในสังคม เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นแค่เครื่องมือ และไม่มีความอยากแก้ไขสิ่งใด ซึ่งเมื่อเทคโนโลยีเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้น มนุษย์จึงต้องมองว่านี่คือภารกิจที่จะต้องแก้ด้วยตัวเอง
“นี่คือคำถามที่สำคัญมาก เวลาคนบอกว่ากลัวจะตกงานด้วย AI พีพีคิดว่างานที่สำคัญของคนเรา คือการแก้ปัญหา Climate Change ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปัญหาคอรัปชั่น AI มันมาแก้ให้เราไม่ได้ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะใช้เครื่องมือ AI ในการแก้ให้มันหายได้ เวลาที่ใครบอกว่าหมดความจูงใจหรือหมดไฟเพราะว่า AI เก่งจังเลย แล้วฉันจะทำอะไร โน่นครับ ปัญหา Climate Change รอให้คนอย่างเราแก้อยู่ คอรัปชั่นยังรอให้เราแก้อยู่ อันนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันทำให้คนเห็นคุณค่าของตัวเองเหมือนกัน ว่ามนุษย์นี่เองที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เทคโนโลยีเป็นแค่เครื่องมือ แต่มันไม่มีบวกลบในตัวมันเอง และไม่ได้อยากที่จะแก้อะไร มันเป็นแค่เครื่องมือที่ช่วยเราคิดได้ไกลขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นภารกิจของมนุษย์เอง ที่จะต้องแก้ด้วยตัวเอง นี่ฟังดูเหมือนเป็นวิกฤต แต่มันคือโอกาส เพราะปัญหานี้ยังอยู่ มนุษย์เลยดำรงอยู่อย่างมีความหมาย มนุษย์ยังมีสิ่งที่ต้องแก้ให้คนรุ่นต่อไป หรือให้ชีวิตเราดำเนินไปได้ต่อไป”
สำหรับชีวิตส่วนตัว พีพียังไม่คิดจะมีหลานให้คุณพ่อคุณแม่ที่บินไปกลับอเมริกา-หาดใหญ่เพื่อกอดลูกชายคนเดียว โดยพีพีบอกว่ายังจินตนาการภาพตัวเองเป็นคุณพ่อไม่ออก และยังอยู่ในยุคที่เพื่อนหลายคนยังไม่มีบุตร ปัจจุบัน พีพีในวัย 28 ปีรู้สึกว่าน่าสนใจที่สังคมในปัจจุบัน “คนมีลูกกลายเป็นส่วนน้อย” และหลายคนยังรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่น่าจะมีทายาท ทำให้รู้สึกสนใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
“แม้จะไม่มีลูกแต่เราก็มีลูกศิษย์ได้ พีพีมีไอดอลในหลายแบบแล้วก็เรียนรู้จากแง่มุมของหลายคน อย่างอีลอน มัสก์ ก็เป็นคนที่คนพูดถึงเยอะ ทุกวันนี้ก็โดนวิจารณ์เยอะมาก พีพีคิดว่าแง่มุมการยึดบุคคลมันอันตราย เราเรียนรู้แง่มุมในชีวิตเขาที่ดี แล้วค่อย ๆ เอามาปรับใช้กับชีวิตเรา ว่าอันไหนเหมาะหรืออันไหนไม่เหมาะ อย่างนี้ดีกว่า การชื่นชมทำได้แต่จะต้องชื่นชมในผลงานและวิธีคิด”
ที่สุดแล้ว การพูดคุยกับหนุ่มพีพีครั้งล่าสุดสะท้อนทัศนคติต่อความสำเร็จและการพัฒนาตนเองของพีพี ด้วยการเรียนรู้จากหลายแง่มุมที่ดีของคนรอบข้าง คู่กับการระมัดระวังกับดักเรื่องการหลงตัวเองเมื่อได้รับคำชม และการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งในภาพรวม ความคิดเห็นที่พีพีสื่อออกมานั้นทำให้เห็นชัดมาก ว่าการมีมุมมองที่สมดุลและเปิดกว้าง นั้นเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบ และการสร้างสังคมที่เกื้อหนุนกันจะช่วยให้ทุกคนสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดีขึ้นแน่นอน