ในช่วงที่สภาวะตลาดมีความท้าทายและการเคลื่อนไหวของตลาดเป็นแบบ Sideways อยู่ในกรอบ ทำให้การลงทุนในหุ้นโดยตรงอาจจะทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างยาก ส่งผลให้นักลงทุนหลายคนหันมาเพิ่มผลตอบแทนและสร้างกระแสเงินสด ผ่าน “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” (Structured Notes) ตราสารที่มีส่วนผสมระหว่างหุ้นกู้กับตราสารอนุพันธ์ ทั้งในมุมของการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Yield Enhancement)
โดยในช่วงที่ผ่านมา หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภท Fixed Coupon Note (FCN) ดูจะเป็นหนึ่งเครื่องมือยอดนิยมของนักลงทุนที่ใช้สร้างกระแสเงินสดระยะสั้น เพื่อรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวน เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยต่อเนื่องตลอดอายุการลงทุนตั้งแต่ 3,6 หรือ 9 เดือน ซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ประมาณ 7-15% ต่อปี ขึ้นอยู่กับหุ้นอ้างอิงใน SET 50 ที่เลือก โดยนักลงทุนสามารถออกแบบสัญญาได้ทั้งในมุมของดอกเบี้ยที่ต้องการ และระดับของความเสี่ยง ผ่านกรอบราคาด้านล่างหรือที่เรียกว่าราคา Knock In (KI) เปรียบเสมือน Buffer ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้หากราคาหุ้นปรับตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ไม่ลงไปต่ำกว่ากรอบราคา Knock In ซึ่งในระหว่างสัญญานักลงทุนจะได้รับกระแสเงินสดเป็นดอกเบี้ยทุก ๆ เดือน หรือเลือกรับดอกเบี้ยทุก ๆ สองสัปดาห์ โดยจะเห็นได้ว่า FCN เป็นเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องโดยที่นักลงทุนไม่ต้องเทรดหุ้นเอง
“มุมของความเสี่ยงในกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าราคา Knock In หรือทะลุกรอบล่างลงไปเมื่อครบกำหนดราคาหุ้นไม่สามารถกลับขึ้นมาที่ราคาเริ่มต้นได้ นักลงทุนจะต้องรับหุ้นอ้างอิงที่ราคา Strike ในวันที่ครบกำหนดอายุ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการขาดทุนเนื่องจากราคาตลาดในปัจจุบันที่ต่ำกว่าราคาที่รับหุ้น (Unrealized Loss) โดยที่นักลงทุนสามารถถือหุ้นต่อไปหรือพิจารณาใช้ Structured notes อื่น ๆ ในการสร้างผลตอบแทนได้”
สำหรับนักลงทุนที่ยังคงมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของเงินลงทุน และต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากทั่วไป เราแนะนำกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปใน “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภทคุ้มครองเงินต้น” หรือ Shark Fin Note (SFN) ที่มีจุดเด่นสามารถสร้างผลตอบแทนเกาะดัชนี SET 50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำ 50 ตัวของตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยมีการคุ้มครองเงินต้นสูงสุด 100% เมื่อถือจนครบอายุสัญญา โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ผ่าน 3 รูปแบบการลงทุนตามมุมมองการลงทุน ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท คือ
- Shark Fin Bull Note ออกแบบมาตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทน เมื่อมองว่าดัชนี SET50 มีโอกาสปรับตัวขึ้นอยู่ในกรอบ และต้องการรักษาเงินต้นไปในเวลาเดียวกัน โดยแม้มองผิดทางแต่หากถือจนครบกำหนดนักลงทุนก็ก็ยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน
- Shark Fin Bear Note รูปแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีมุมมองว่าตลาดอาจปรับตัวลงอยู่ในกรอบ ซึ่งสามารถทำผลตอบแทนได้ในสภาวะที่ดัชนี SET50 ติดลบหรือย่อตัวลง ในขณะเดียวกันยังสามารถรักษาเงินต้นไปในตัว แม้ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้นต่างจากคาดการณ์
- Twin-Win Shark Fin Note หรือครีบฉลามสองด้าน การลงทุนในรูปแบบนี้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งสภาวะที่ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้นอยู่ในกรอบหรือสามารถทำกำไรได้เมื่อดัชนี SET50 ปรับตัวลงในกรอบ ซึ่งเหมาะกับสภาวะที่ตลาดเคลื่อนไหวไม่ชัดเจนหรือในช่วงที่คาดการณ์ตลาดได้ค่อนข้างยาก
ในกรณีที่ระดับดัชนี SET50 ที่ปิดในทุกวันไม่หลุดกรอบ Knock Out (KO) ตลอดอายุสัญญา Shark Fin Note ไม่ว่าจะทั้ง Bull, Bear หรือ Twin-Win ผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET 50 ณ วันกำหนดค่าหลักทรัพย์เทียบกับระดับดัชนี ณ วันเปิดสัญญา เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากหรือตราสารหนี้ หากเป็นไปตามคาดการณ์
ทั้งนี้ ในทางกลับกันหากทิศทางของดัชนี SET50 ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือลงทุนผิดทาง นักลงทุนก็ไม่ต้องเผชิญกับภาวะการณ์ขาดทุนโดยยังได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อถือจนจนครบกำหนด 6 เดือน หรือ 1ปี ตามสัญญา อย่างไรก็ดีหากในระหว่างอายุสัญญาระดับราคาปิดของดัชนี SET50 ณ สิ้นวันใด ๆ ปิดสูงกว่าหรือเท่ากับกรอบราคา Knock Out (KO) ที่กำหนด เมื่อถือจนครบกำหนด นักลงทุนจะได้รับส่วนชดเชยผลตอบแทน (Rebate) ที่ 0.5% ต่อปี พร้อมกับเงินต้นเต็มจำนวน ซึ่งจะทำให้เห็นว่าลักษณะจ่ายผลตอบแทน (Payoff) ของ Shark Fin Note จะเหมือนกับครีบของปลาฉลามตามชื่อนั่นเอง อย่างไรก็ดีผู้สนใจลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงกับหลักทรัพย์บัวหลวง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน หรือ BLS Customer Service โทร. 0 2618 1111
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
กระจายพอร์ตลดความเสี่ยงด้านเครดิต พร้อมสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มด้วย FCN
DR “SP50001” เปิดโอกาสนักลงทุนไทยสู่การลงทุนในดัชนีระดับโลก S&P 500
หนึ่งเดียวในตลาดหุ้นไทย “DW01 อ้างอิง SET Index” พร้อมซื้อขายวันแรกแล้ว 19 ส.ค. 67
