Share on
×

Share

เศรษฐกิจทรัมป์รีเทิร์น ไทยเจอสองเด้ง

มีการวิเคราะห์ผลจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่จะมีต่อโลกและกับไทยของสำนักต่าง ๆ กันไว้หลาย ๆ แง่มุม แต่ที่จะส่งผลต่อไทยโดยตรงน่าจะมีอยู่ 3 ส่วนหลักด้วยกัน

หนึ่ง คือผลทางภูมิรัฐศาสตร์บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่าด้วยเป้าหมายของทรัมป์ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ที่หาเสียงด้วยสโลกแกนว่าจะนำอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หรือนัยหนึ่งคือต้องเป็น “เจ้า” ในระเบียบโลกใบนี้แต่เพียงผู้เดียว ห้ามประเทศอื่นขึ้นมาทาบรัศมี เช่นทุกวันนี้ที่มีจีนกับรัสเซียเคียงอยู่ไม่ห่างจากสหรัฐฯ และทั้ง 2 ประเทศยัง จับมือชูแนวคิดโลกต้องมีหลายขั้ว มาตอบโต้อุดมการณ์โลกขั้วเดียวของสหรัฐฯ การที่กลุ่มบริสก์ หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและเติบโตเร็วที่ก่อตั้งโดย จีน รัสเซีย บราซิล และอินเดียว มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการประชุมครั้งล่าสุดคือสถานการณ์ที่สหรัฐฯมองว่าถูกท้าทาย

ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าทรัปม์ที่ตั้งเป้าสร้างผลงานระดับตำนาน คงจะใช้ทั้งพลังทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง รวมไปถึงลีลาสไตล์ทรัมป์ ๆ เชิญชวนกึ่งกดดันให้ประเทศต่างที่ยังชูนโยบายเป็นมิตรกับทุกขั้วรวมทั้งไทยให้ตัดสินใจเลือกข้างให้ชัดว่าจะอยู่ตรงไหน กับแนวโน้มที่กำลังเป็นไปทำให้นโยบายรักษาความเป็นกลางระหว่างขั้วอำนาจโลกของไทยเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับไทยและอีกหลาย ๆ ประเทศ

สอง ความวุ่นวายจากความไร้ระเบียบทางการค้าโลกที่เกิดจากนโยบายขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าจากจีนอีก 60-100% และประเทศอื่นอีก 10-20% ซึ่งประเทศไทยอยู้ในข่ายนี้และอาจเป็นเป้าหมายอันดับแรกในอาเซียนที่สหรัฐฯจะบังคับใช้มาตรกำแพงภาษี เพราะไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯต่อเนื่องมาหลายปี

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจแบงก์ไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC วิเคราะห์ประเด็นผลต่อการค้าส่งออกไว้ว่า การมาของทรัมป์ 2.0 พร้อมกับนโยบายกีดกันทางการค้าด้วยมาตรการภาษีจะส่งผลให้การค้าโลกชะลอตัว ภาคส่งออกไทยที่ส่งออกสินค้าหลัก ๆ ไปขายสหรัฐฯ อาทิ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

ขณะเดียวกันการรับมือกับนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ของจีนในฐานะเป้าหมายกีดกันอันดับหนึ่ง ผนวกกับปัญหาการผลิตที่ล้นเกินของจีนเองจะทำให้จีนมองหาตลาดทดแทน และสิ่งที่คาดว่าจะเกิดตามมาคือสินค้าจีนมีแนวโน้มทะลักเข้ามาขายตลาดอื่นมากขึ้นเฉพาะไทย ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตไทยเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและทำให้ภาคการผลิตไทยฟื้นช้า  

หากสถานการณ์เดินเป็นเส้นตรงตามการวิเคราะห์ข้างต้น ก็เท่ากับว่าไทยมีโอกาสรับผลกระทบสองเด้งกับการกลับมาของทรัมป์ เด้งแรกคือสินค้าส่งออกหลักไปสหรัฐฯ ภาษีแพงขึ้น และเด้งที่สองคือสินค้าจากจีนจะไหลบ่ามาเข้ามาทุ่มตลาดในไทยมากขึ้น ดีไม่ดีผลข้างเคียงจากจีนระบายสินค้าอาจจะหนักกว่าผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินเอาไว้ว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงมากน่าจะเริ่มกลางปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้การค้าโลกหดตัว 0.8% ในปี 2568 และลดลง 1.3% และถ้าใช้มาตรการกำแพงภาษีในวงกว้างจะส่งผลให้ เศรษฐกิจโลกลดลง 7% 

และผลกระทบส่วนที่สาม คือการลงทุนซึ่งแยกได้ 2 ส่วนย่อย คือการย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทยเพื่อหลบกำแพงภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากจีน และส่วนที่สองคือย้ายฐานการผลิตออกจากไทยกลับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการลงทุนกลุ่มคลาวด์ เซ็นเตอร์ ที่หลายบริษัทจากสหรัฐฯ ประกาศลงทุนในไทยไว้ก่อนหน้านี้ เช่น Google ประกาศลงทุนในไทย 32,000 ล้านบาท อาจจะทบทวนแผนการลงทุนเมื่อนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ชัดเจนขึ้น

อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์ผลกระทบในด้านต่าง ๆ จากการมาของทรัมป์ 2.0 ข้างต้น มาจากมุมเดียวคือมุมของสหรัฐฯ ผู้ออกมาตรการ เชื่อว่าเมื่อมาตรการถูกนำมาใช้ประเทศที่เจอมาตรการกำแพงภาษี โดยเฉพาะจีนรวมทั้งประเทศอื่นที่ถูกยื่นข้อเสนอในท่วงทำนองข้อเสนอที่คุณปฎิเสธไม่ได้ คงออกมาตั้งกำแพงภาษีตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นคงพอประเมินได้ว่าผลกระทบสุทธิจากการมาตาการของทรัมป์ 2.0 ที่นำไปสู่สงครามการค้านั้นรุนแรงระดับไหน  

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

การเมืองไทยเดินหน้ายึดอิสระแบงก์ชาติ

สังคมได้บทเรียนจาก “แชร์ลูกโซ่ดิไอคอน” อย่างไร   

×

Share