“ผู้คนตื่นเต้นทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง พวกเขารับสายโดยไม่ลังเล” แมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโกโกลุก ประเทศไทย เริ่มต้นบทสนทนากับ The Story Thailand ด้วยการย้อนนึกถึงภาพในความทรงจำเมื่อ 20 หรือ 30 ปีก่อน ที่โทรศัพท์เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อ เป็นสะพานแห่งมิตรภาพและความผูกพัน มิใช่ความหวาดระแวงดังเช่นทุกวันนี้
“แต่ในวันนี้ ความตื่นเต้นนั้นกลับกลายเป็นความกลัวที่จะรับสายจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความกังวล
ไม่เพียงแต่ผู้ใช้งานทั่วไปเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่ใจ ธุรกิจต่าง ๆ ก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการติดต่อลูกค้าที่ไม่กล้ารับสาย ซึ่งการสูญเสียความไว้วางใจนี้ เขามองว่าเป็นมากกว่าความไม่สะดวกส่วนบุคคล แต่เป็นปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจด้วย
“ดังนั้น เราเชื่อว่ามีโอกาสทางธุรกิจ โอกาสในการให้บริการ นั่นคือวิสัยทัศน์ของเรา — การสร้างความไว้วางใจในการสื่อสาร หากพวกเขามีความไว้วางใจ พวกเขาจะสื่อสารได้อย่างอิสระและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข” เขาอธิบาย
และนั่นคือจุดที่โกโกลุก (Gogolook) บริษัทสัญชาติไต้หวันที่นิยามตนเองว่าเป็น “บริษัทเทคโนโลยีที่มุ่งสร้างความไว้วางใจ” (TrustTech) เข้ามามีบทบาทในการช่วยป้องกันภัยจากการถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ
หัวใจสำคัญของโกโกลุกคือ ธุรกิจและบริการหลักอย่าง Whoscall แอปพลิเคชันที่ระบุตัวตนของสายเรียกเข้าได้แบบเรียลไทม์ สามารถแสดงให้เห็นว่าใครกำลังโทรเข้ามา ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะระหว่างสายที่ถูกต้องจากธนาคารหรือโรงพยาบาล กับสายที่น่าสงสัยจากมิจฉาชีพ ผู้ใช้จึงควบคุมโทรศัพท์ของตัวเองได้อย่างมั่นใจ
Whoscall ให้บริการครอบคลุม 9 ประเทศในทวีปเอเชีย มียอดดาวน์โหลดทั่วโลกกว่า 100 ล้านครั้ง และในไทยถึง 25 ล้านครั้ง มีฐานข้อมูลที่ครอบคลุมมากที่สุดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครอบคลุมหมายเลขโทรศัพท์มากกว่า 2,600 ล้านเลขหมาย
‘คู่แข่งสำคัญคือมิจฉาชีพ’ ปรับกลยุทธ์ก้าวนำหน้าภัยคุกคาม
แมนวูซึ่งมาประจำการที่ประเทศไทยเป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้ว เล่าถึงความประทับใจในโครงสร้างดิจิทัลของไทยที่ก้าวหน้ามาก ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินผ่าน PromptPay การใช้งานของระบบธนาคาร การสั่งของออนไลน์ และหลายบริษัทเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้สำเร็จ
“แต่ถ้ามองลึกกว่านั้น ก็มีความเสี่ยงซ่อนอยู่ เพราะหลัง Covid-19 รัฐบาลทุกประเทศพยายามเก็บข้อมูลประชาชนเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ เช่น ต้องยืนยันตัวตนเมื่อซื้อซิมการ์ด แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงถ้าข้อมูลรั่วไหล สมัยก่อนที่ไม่มีอีคอมเมิร์ซหรือการชำระเงินออนไลน์ แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลได้ยาก แต่ตอนนี้ ถ้าพวกเขาได้ฐานข้อมูล ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลอกลวงคน”
งานวิจัยเมื่อ 4 ปีก่อนพบว่าในจำนวนการหลอกลวง 10 ครั้ง จะมีผู้ถูกหลอกสำเร็จ 3 คน แต่ในการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นเป็น 9 ใน 10 คน ซึ่งแมนวูบอกว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาเครื่องมือและกลยุทธ์ของมิจฉาชีพที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการพัฒนาเครื่องมือหลอกลวง เช่น “Scam-as-a-Service” ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงและซื้อเครื่องมือเหล่านี้ได้โดยง่าย
ภูมิทัศน์ของการหลอกลวงกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เริ่มต้นจากสายโทรศัพท์หลอกลวง ได้แพร่กระจายไปยังโซเชียลมีเดีย ข้อความ SMS และเว็บไซต์ มิจฉาชีพส่งลิงก์ที่เป็นอันตรายเพื่อหลอกให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลส่วนตัว ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลหรือความสูญเสียทางการเงิน เพื่อรับมือกับสิ่งนี้ โกโกลุกได้ขยายฟีเจอร์ของ Whoscall ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาให้สามารถตรวจจับเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและสแกนหาความผิดปกติในโซเชียลมีเดีย เพื่อปกป้องผู้ใช้ในทุกแพลตฟอร์ม
จากข้อมูลของแมนวูระบุว่า การหลอกลวงได้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” ขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายทั่วโลกถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1% ของจีดีพีโลก ตัวเลขนี้แสดงถึงการเติบโตของมิจฉาชีพที่เข้ามาในวงการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“แน่นอนว่า คู่แข่งสำคัญของเรา คือ มิจฉาชีพ ยิ่งมิจฉาชีพทำเงินได้มาก พวกเขายิ่งลงทุนพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ทำให้มีเหยื่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“เราต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ ฟีเจอร์ และทิศทางของเรา” แมนวูกล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการก้าวนำหน้าวิธีการของมิจฉาชีพ
3 แนวทางหลัก ยกระดับป้องกันภัยหลอกลวงในไทย
สำหรับแผนการยกระดับการป้องกันภัยหลอกลวงในประเทศไทยนั้น โกโกลุกยึด 3 แนวทาง คือ
ประการแรก การพัฒนาแอปให้ใช้งานง่ายสำหรับทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย โกโกลุกจึงมุ่งลงทุนปรับปรุง UI (ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้) และ UX (ประสบการณ์ของผู้ใช้) ของแอป Whoscall ให้เรียบง่ายและเหมาะสมกับทุกวัย เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการป้องกันภัยได้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การรู้เท่าทันดิจิทัลยังเป็นหัวใจสำคัญ แมนวูระบุว่า แม้จะรณรงค์มากเพียงใด หลายคนยังไม่เข้าใจว่า “สแกม” คืออะไร และมักรู้ตัวเมื่อเสียเงินไปแล้ว เพื่อแก้ปัญหานี้ โกโกลุกวางแผนรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนร่วมกับรัฐบาลว่าลักษณะของการหลอกลวงเป็นอย่างไร และควรระวังเมื่อเจอสถานการณ์ที่น่าสงสัย
สุดท้าย การทำงานร่วมกับภาครัฐเป็นกลยุทธ์หลักที่โกโกลุกใช้ ไม่เพียงในไทย แต่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแมนวูอธิบายว่า หากบริษัทฯ บอกว่า “นี่คือแอปป้องกันสแกม ดาวน์โหลดได้เลย” อาจไม่ได้รับความไว้วางใจ แต่การมีรัฐบาลเป็นพันธมิตรจะทำให้แคมเปญมีน้ำหนักและเข้าถึงคนได้มากขึ้น
เบื้องหลังการทำงานของ Whoscall: AI ผนึกพลังชุมชน
Whoscall มีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนแต่มีประสิทธิภาพในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจจับภัยคุกคาม แหล่งข้อมูลหลักมาจากการรายงานของผู้ใช้งานเอง เมื่อผู้ใช้ได้รับสายหรือข้อความ SMS ที่น่าสงสัย พวกเขาสามารถรายงานผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์
นอกจากนี้ Whoscall ยังได้รับฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์และรูปแบบการหลอกลวงจากภาครัฐ และใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของมิจฉาชีพ ระบบ AI สามารถตรวจจับรูปแบบที่ไม่ปกติ เช่น การโทรออกจากหมายเลขเดิมซ้ำ ๆ ในระยะเวลาอันสั้น หรือการตรวจสอบข้อมูลของเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงความผิดปกติของไอคอนโซเชียลมีเดีย
เมื่อฐานข้อมูลภัยคุกคามถูกสร้างขึ้นและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปฝังในแอป Whoscall เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนสายโทรเข้า ข้อความ SMS หรือเมื่อผู้ใช้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย ระบบจะตรวจจับและแจ้งเตือนทันที เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้อย่างระมัดระวัง
ในรายงานประจำปี 2567 ของโกโกลุก ที่วิเคราะห์สถานการณ์กลโกงของมิจฉาชีพในประเทศไทยตลอดปีที่ผ่านมา Whoscall ตรวจพบสายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงสูงถึง 168 ล้านครั้ง ถือเป็นยอดที่สูงสุดในรอบ 5 ปีของประเทศไทย และสามารถปกป้องผู้ใช้จากการถูกหลอกลวงผ่านการโทรและข้อความ SMS ได้ถึง 460,000 ครั้งใน 1 วัน
นอกจากฟีเจอร์หลักในการแจ้งเตือนสายโทรเข้าที่น่าสงสัยแล้ว อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญคือระบบ Scam Alert ที่แจ้งเตือนเกี่ยวกับกลโกงและวิธีการหลอกลวงที่กำลังระบาด เพื่อให้ทุกคนระวังตัว เช่น ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มิจฉาชีพมักจะฉวยโอกาสแกล้งทำเป็นผู้ประสบภัยและขอรับเงินบริจาคจากผู้ใจบุญ ระบบจะแจ้งเตือนผู้ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ระบบนี้ยังได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาของรัฐบาล เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงในระดับที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย เพื่อช่วยให้ผู้คนรับทราบสถานการณ์และไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป รวมถึงสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
โซลูชัน Watchmen: เกราะป้องกันธุรกิจและภาครัฐจากภัยแอบอ้าง
สำหรับโซลูชันในภาคธุรกิจ โกโกลุกเตรียมเปิดตัว Watchmen ซึ่งออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับการหลอกลวงแบบแอบอ้าง แมนวูอธิบายว่า มิจฉาชีพมักปลอมตัวเป็นหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ธนาคาร หน่วยงานราชการ หรือแม้แต่ตำรวจ โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ปลอมเพื่อหลอกเหยื่อ สมมติว่าธนาคารหนึ่งมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องของตัวเอง แต่มิจฉาชีพสร้างหมายเลขของตัวเองขึ้นมาและโทรหาลูกค้า โดยบอกว่า โทรมาจากศูนย์บริการลูกค้าของธนาคารแห่งนี้ เหยื่อที่ตื่นตระหนกอาจแชร์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนซึ่งมิจฉาชีพสามารถนำไปใช้หาประโยชน์อย่างอื่นในทางที่ผิด
“Watchmen ช่วยตรวจจับการแอบอ้างผ่านโซเชียลมีเดีย ข้อความ SMS และสายโทรศัพท์ และแจ้งเตือนบริษัทและหน่วยงานก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น แนวทางเชิงรุกนี้ไม่เพียงปกป้องผู้บริโภค แต่ยังช่วยปกป้องชื่อเสียงของธุรกิจและภาครัฐเมื่อมิจฉาชีพใช้ชื่อของพวกเขาในทางที่ผิด” แมนวู กล่าว
AI-Deepfake: ภัยคุกคามยุคใหม่
ในโลกยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด การรับมือกับภัยคุกคามจากมิจฉาชีพจึงทวีความท้าทายมากยิ่งขึ้น แมนวูชี้ว่า AI และ Deepfake (AI รูปแบบหนึ่งที่สามารถสร้างสื่อสังเคราะห์ ทั้งภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง ที่เหมือนเป็นคนมาพูดหรือคุยจริง ๆ จนแทบแยกไม่ออก) คือความท้าทายใหญ่
“ตอนนี้เทคโนโลยีดีขึ้นจนแยกได้ยากว่าอะไรจริง อะไรปลอม มิจฉาชีพใช้ AI เลียนแบบเสียงหรือหน้าตาคนเพื่อหลอกลวง ในมุมมองของผม AI เป็นดาบสองคม มันช่วยเราพัฒนาเทคโนโลยี แต่ก็เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพเช่นกัน ดังนั้นเราต้องเร็วกว่าและฉลาดกว่า เพื่อปกป้องทุกคน” แมนวูกล่าว
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนเหล่านี้ โกโกลุก เตรียมจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในไทยชื่อ Content Checker ที่ให้ผู้ใช้แคปภาพจากโซเชียลมีเดีย แล้ว AI จะวิเคราะห์ว่ามีเจตนาร้ายหรือไม่ ฟีเจอร์นี้ใช้ในไต้หวันและฟิลิปปินส์แล้ว ช่วยตรวจจับ Deepfake และเนื้อหาอันตรายได้ดี
หวังคนไทยทุกคนใช้ Whoscall ร่วมเป็นเครือข่ายสกัดมิจฉาชีพ
ในอีก 5 ปีข้างหน้า แมนวู หวังว่าผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือทุกคนในประเทศไทยจะใช้ Whoscall และไม่ใช่เป็นแค่ผู้ใช้ แต่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ช่วยกันต่อสู้กับมิจฉาชีพ
“มิจฉาชีพมีกลยุทธ์มากมาย ถ้าเราทำคนเดียวมันยาก แต่ถ้าคนไทยทุกคนเป็นสมาชิกและร่วมมือกัน เราจะกำจัดพวกเขาได้”
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นบริษัทเอกชน โกโกลุกก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบต่อสังคมและการสร้างรายได้ให้กับบริษัท แมนวูยอมรับว่าบางครั้งก็มีความท้าทายในการรักษาสมดุลนี้ เนื่องจากนักลงทุนก็คาดหวังให้บริษัทสร้างผลกำไร
“แต่โชคดีที่ตอนนี้เราทำได้ดีทั้งสองด้าน ช่วยสังคมและสร้างรายได้ไปพร้อมกัน ด้วย Watchmen และ Whoscall ผมเชื่อว่าธุรกิจในไทยจะเติบโตเกินไต้หวัน เพราะไทยมีประชากรถึง 3 เท่าของที่นั่น” แมนวู กล่าวทิ้งท้าย
อศินา พรวศิน สัมภาษณ์
จินตนา ปัญญาอาวุธ เรียบเรียง
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล” แห่ง BDI กับความท้าทายบนเส้นทาง Data Driven Nation
“สิทธิเดช มัยลาภ” สยายปีก “Sky ICT” จาก System Integrator สู่ Global Tech Company ด้าน Aviation
กลยุทธ์สร้างทีมที่ตอบโจทย์ธุรกิจ แบบ “มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ” แห่ง Sea (ประเทศไทย)