ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นสมรภูมิสำคัญทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยได้เดินหน้าด้วยการผนึกกำลังของ 3 หน่วยงานระดับประเทศ ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ. หรือ ETDA) จัดตั้ง ศูนย์กลางปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (Artificial Intelligence Thailand: AITH) ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางแบบครบวงจร (One-stop Service) ในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ของประเทศ ตั้งแต่การวิจัยพัฒนา การสร้างบุคลากร ไปจนถึงการกำกับดูแลและกำหนดมาตรฐาน สร้าง “อธิปไตยทาง AI” ให้ทัดเทียมนานาชาติ
การรวมตัวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการลงนามความร่วมมือ แต่คือคำตอบของโจทย์ใหญ่ที่แต่ละหน่วยงานต่างเผชิญ และเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเติมเต็มระบบนิเวศ AI ของไทยให้สมบูรณ์
จาก Pain Point สู่แรงบันดาลใจ: ถอดรหัสเบื้องหลังการก่อตั้ง AITH
เบื้องหลังการก่อตั้ง AITH เป็นการตกผลึกจากปัญหาและความท้าทายที่แต่ละหน่วยงานเผชิญหน้าโดยตรงในภาคสนาม การรวมตัวครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการนำจิ๊กซอว์ 3 ชิ้นที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันมาประกอบกัน เพื่อสร้างภาพอนาคต AI ของไทยที่สมบูรณ์และไร้รอยต่อ
ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลักของประเทศ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาหลังการประกาศใช้แผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ NECTEC ได้กลายเป็น “Focal Point” หรือศูนย์กลางโดยพฤตินัยที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวนมากวิ่งเข้ามาขอคำปรึกษาด้าน AI แต่ด้วยภารกิจหลักที่ต้องมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “ลันตา” ทำให้ NECTEC ต้องเผชิญกับคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่ว่า “ถ้าเราต้องวิ่งออกไปพัฒนากำลังคน แล้วใครจะทำงานวิจัยและพัฒนา?”
ความต้องการที่หลั่งไหลเข้ามา ทั้งในมิติของการอบรมบุคลากร การให้คำปรึกษาเชิงนโยบาย และการรับมือกับประเด็นกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ซับซ้อน เป็นสิ่งที่เกินกว่ากำลังของหน่วยงานเดียวจะแบกรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ NECTEC ตระหนักดีว่า เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีศูนย์กลางความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ที่เป็นรูปธรรมและผนึกกำลังจากหลายภาคส่วน การแสวงหาพันธมิตรจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อสร้างกลไกที่ยั่งยืน
ในมุมมองของภาคการศึกษา รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาฯ มีพันธกิจหลักในการสร้างบุคลากรและองค์ความรู้ และที่สำคัญคือ เข้าใจถึงปัญหาขององค์กรที่ “ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร” เพราะมหาวิทยาลัยเองก็เคยผ่านประสบการณ์การตั้งต้นจากศูนย์ในการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เมื่อ 30 ปีก่อน การเป็น “Comprehensive University” ทำให้จุฬาฯ มีความพร้อมในทุกศาสตร์ ตั้งแต่การวิจัยประยุกต์ที่จับต้องได้ เช่น แอปพลิเคชันโดรนการแพทย์ฉุกเฉิน “D-MAN” ไปจนถึงความเชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางกรอบจริยธรรมและข้อกฎหมายสำหรับ AI การเข้าร่วม AITH จึงเป็นโอกาสที่จุฬาฯ จะนำองค์ความรู้และประสบการณ์ตรงมาทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเริ่มต้นเส้นทางสู่ AI ได้อย่างมั่นคงและถูกทิศทาง
ขณะที่ NECTEC มุ่งสร้างเทคโนโลยี และจุฬาฯ มุ่งสร้างคน ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA ชี้ให้เห็นถึงมิติที่ขาดไม่ได้ในโลกดิจิทัล นั่นคือ ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย (Trust and Security) ภารกิจหลักของ ETDA คือการสร้างธรรมาภิบาลสำหรับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทในทุกกระบวนการมากขึ้น เรื่องของความปลอดภัย, การกำกับดูแล, และการสร้างมาตรฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องตามมาควบคู่กัน
ETDA ยอมรับว่าแม้จะเชี่ยวชาญด้านนโยบายและมาตรฐาน แต่ “ไม่ได้เข้าใจในเรื่องของแอปพลิเคชัน” อย่างลึกซึ้งเท่ากับนักวิจัยหรือผู้ใช้งานจริง ดังนั้น การทำงานร่วมกับ NECTEC และจุฬาฯ จะช่วยให้ ETDA สามารถสร้างกรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับบริบทการใช้งานจริง ไม่ใช่เป็นเพียงกฎระเบียบที่สวยงามบนกระดาษ ปัจจุบัน ETDA ได้พัฒนาเครื่องมือและแนวปฏิบัติ (Guideline) สำหรับการนำ AI ไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบแล้ว การผนึกกำลังครั้งนี้จะทำให้การพัฒนา AI ของไทยเดินหน้าไปบนรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง
4+1 ภารกิจหลัก: AITH บริการครบวงจรสู่การเป็นผู้นำ AI

เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นคุณค่าที่จับต้องได้ AITH ได้วางโครงสร้างการให้บริการแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกสเปกตรัมของความต้องการด้าน AI โดย ดร.ชัย ได้สรุปภารกิจหลักในรูปแบบ “4+1″ ที่จะทำให้ AITH เป็นประตูบานแรกที่ทุกองค์กรสามารถเข้ามาขอรับบริการได้โดย “ไม่ต้องสับสนอีกต่อไป”
- การให้คำปรึกษา (Consulting) AITH จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแบบเบ็ดเสร็จใน 2 มิติหลัก คือ ให้คำปรึกษาเพื่อนำ AI ไปใช้ (Consult to use AI) สำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้น และให้คำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับตัวเทคโนโลยี AI (Consult on AI) สำหรับการพัฒนาขั้นสูง โดยมีกลไกการส่งต่อที่ชัดเจน หากเป็นคำถามเชิงธุรกิจหรือการประยุกต์ใช้ในศาสตร์ต่าง ๆ จะเชื่อมโยงไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากเป็นประเด็นด้านความปลอดภัย ธรรมาภิบาล หรือข้อกฎหมาย จะส่งต่อไปยัง ETDA เพื่อให้ผู้ขอรับบริการได้พบกับผู้เชี่ยวชาญที่ตรงจุดที่สุด
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) นอกจากการให้บริการเชื่อมต่อกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลประสิทธิภาพสูงอย่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “ลันตา” ของ NECTEC และการเชื่อมโยงกับบริการคลาวด์ภาครัฐ (GDC) แล้ว AITH ยังมีแนวคิดในการจัดตั้งพื้นที่ “Sandbox” ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมเสมือนจริงให้หน่วยงานต่างๆ สามารถเข้ามาทดลองพัฒนาและใช้งานผลิตภัณฑ์ AI ได้อย่างอิสระ ภายใต้กฎกติกาและมาตรฐานที่ร่วมกันกำหนดขึ้น เพื่อสร้าง Use Case ที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปต่อยอดได้จริง
- การทดสอบและสร้างมาตรฐาน (Testing & Standardization) ภารกิจนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ AI สัญชาติไทย โดยจะดำเนินการตั้งแต่การทดสอบประสิทธิภาพ (Performance Testing) ในลักษณะเดียวกับโปรแกรม AI Verify ของประเทศสิงคโปร์ เพื่อประเมินว่าเทคโนโลยีนั้นใช้งานได้จริงและปลอดภัยหรือไม่ ก่อนที่จะมีมาตรฐานอย่างเป็นทางการ ผ่านแพลตฟอร์ม benchmark.ai.in.th ที่ NECTEC ได้เตรียมชุดข้อมูลขนาดใหญ่ไว้สำหรับทดสอบ AI ในโจทย์สำคัญ ๆ เช่น การประมวลผลเอกสาร (Document AI) และการถอดเสียงการประชุม (Meeting Transcription) ไปจนถึงการทดสอบเพื่อรับรองมาตรฐานที่เป็นทางการผ่านศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ (PTEC) ในโครงการ SQAT ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการทดสอบซอฟต์แวร์ AI บน IoT และกำลังขยายผลสู่ AI ทางการแพทย์ (Medical AI) และเทคโนโลยีชีวมิติ (Biometrics)
- การพัฒนาบุคลากร (Human Resource Development) AITH จะเป็นแกนกลางในการยกระดับทักษะกำลังคนด้าน AI ของประเทศ โดยมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแกนหลักในการพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรม ทั้งในรูปแบบ Executive Training สำหรับผู้บริหาร และ Personnel Training สำหรับผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ยังจะร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งอย่างโครงการ Super AI Engineer เพื่อขยายผลการสร้างบุคลากรคุณภาพสูงให้ครอบคลุมและรวดเร็วยิ่งขึ้น
+1. ศูนย์ข้อมูลและบริการสารสนเทศ (Information Service) ภารกิจในอนาคตที่ AITH คาดหวังจะสร้างให้เกิดขึ้น คือการเป็น “คลังสมอง” (Think Tank) ของประเทศด้าน AI ทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และจัดทำรายงานเชิงยุทธศาสตร์ในประเด็นสำคัญที่ปัจจุบันยังไม่มีเจ้าภาพหลัก เช่น “ประเทศไทยลงทุนกับ AI ไปเท่าไหร่แล้ว?” “สถานะกำลังคนด้าน AI ของเราเป็นอย่างไร?” หรือ “เทรนด์ AI ในอนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศคืออะไร?” เพื่อให้ภาครัฐและเอกชนมีข้อมูลที่แม่นยำและลึกซึ้งสำหรับใช้ในการตัดสินใจและวางนโยบายได้อย่างเฉียบคม
เป้าหมายที่ท้าทายและอนาคตของ “AI สัญชาติไทย”
AITH ไม่ได้เป็นเพียงแค่หน่วยงานประสานงาน แต่มาพร้อมกับตัวชี้วัด (KPIs) ที่ชัดเจนและท้าทาย เพื่อผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าหมายเชิงรุกไว้ คือ 1. พัฒนาและให้บริการบุคลากรไม่น้อยกว่า 50,000 คนต่อปี (รวม 150,000 คนใน 3 ปี) 2. สร้างองค์ความรู้ระดับชาติ: จัดทำรายงานภาพรวม (National Review) ด้าน AI ของประเทศ อย่างน้อยปีละ 1 ฉบับ 3.สร้างมาตรฐานและพัฒนาเกณฑ์การทดสอบ (Benchmark Testing) สำหรับระบบ AI ที่สำคัญ อย่างน้อย 8 ระบบ และ 4.ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการนำ AI ไปใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 50 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่า นั่นคือการสร้าง “AI สัญชาติไทย” และสถาปนา “อธิปไตยทาง AI (AI Sovereignty)” เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ
บทเรียนจากอดีต: “เราจะตกขบวนอีกครั้งไม่ได้แล้ว“
ดร.ชัย กล่าวว่า ”ผมคิดว่าประเทศไทยเราตกขบวนมาแล้วหลายรอบ ตั้งแต่สมัยอินเทอร์เน็ต อีคอมเมิร์ซ จนถึงโซเชียลมีเดีย ที่เรากลายเป็นเพียง ‘ผู้ใช้ที่ดีมาก’ แต่ไม่มีแพลตฟอร์มที่เป็นของเราเอง ในยุคของ AI เราจะเป็นเช่นนั้นอีกหรือเปล่า?”
คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับหน่วยงานที่มีข้อมูลอ่อนไหวสูง “ลองนึกภาพ กรมศุลกากร, ศาลยุติธรรม, หรือรัฐสภา ท่านจะใช้ OpenAI ที่เป็นบริการคลาวด์จากต่างชาติได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้เลย” นี่คือช่องว่างขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่า หากไทยไม่มี AI ของตนเอง หน่วยงานด้านความมั่นคงและบริการสาธารณะที่สำคัญที่สุดของประเทศจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
ความเสี่ยงของการพึ่งพา “ถ้าวันหนึ่งเขาถอดปลั๊ก เราจะไปต่อไม่ได้”
รศ.ดร.มาโนช ย้ำถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกเพียงอย่างเดียว “ถ้าวันนี้โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ปิดไป เราอาจจะแค่สับสนวุ่นวาย แต่ถ้า AI ที่เราฝาก Productivity ของทั้งองค์กรไว้ถูกปิดบริการขึ้นมา เราจะไปต่อไม่ได้เลย”
และให้เห็นว่า หัวใจสำคัญที่จะทำให้ AI สัญชาติไทยเกิดขึ้นได้จริงนั้น ต้องเริ่มต้นจากการเตรียมความพร้อมด้าน “ข้อมูล (Data)” ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา AI ทุกชนิด “การบ้านที่ทุกหน่วยงานสามารถทำได้ก่อนเลย คือการสร้างทีมข้อมูลที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโมเดล AI ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
คำเชิญชวนสู่การเปลี่ยนแปลง: “ให้โอกาส และให้อภัยในข้อผิดพลาด”
ดร.ชัยชนะ กล่าวทิ้งท้ายอย่างทรงพลัง เชิญชวนให้คนไทยหันมาสนับสนุน AI ที่พัฒนาโดยคนไทย “เงินมหาศาลที่เราจ่ายให้กับซอฟต์แวร์ต่างประเทศทุกวันนี้ หากนำมาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีของเราเอง เราจะได้โซลูชันที่ตอบโจทย์บริบทของเราได้หลากหลายรูปแบบ แต่เราต้องเริ่มต้นด้วยการ ‘ให้โอกาส และให้อภัยในข้อผิดพลาดช่วงเริ่มต้น’เพราะถ้าเราไม่ให้โอกาส เราก็จะเดินต่อไปได้ยาก”
AITH จึงไม่ใช่แค่ศูนย์กลางทางเทคโนโลยี แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างอนาคตที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ใช้” แต่เป็น “ผู้สร้าง” นวัตกรรม AI ที่สามารถแข่งขันและยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงบริการและข้อมูลต่าง ๆ ของศูนย์กลางปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AITH) ได้ที่ https://ai.in.th/aith
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อว. จับมือพันธมิตรตั้ง 2 ศูนย์ AI แห่งชาติ ปั้น ‘ครู AI’
‘Beyond Valuation’ สิ่งที่ VC มองหาจริง ๆ ในสตาร์ตอัพ SEA วันนี้