ในมุมมองของภาคธุรกิจ การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีนเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกวัน แต่ในความรู้สึกของชาวบ้านในฐานะผู้บริโภคกลับตรงกันข้ามสิ้นเชิง เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้คุยกับชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำหลายคน บอกตรงกันว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่มีต้องพึ่งสินค้าราคาถูกจากจีน เพราะของไทยมีราคาแพงซื้อไม่ไหว
ฟังแล้วก็ไม่แปลกใจที่ข้อมูลการค้าระหว่างไทยจีนล่าสุด เพียงแค่ 6 เดือนแรกของปี 2567 เริ่มออกอาการน่าเป็นห่วง ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลทางการค้ากับจีนถึง 19,967 ล้านเหรียญ หรือกว่า 7.2 แสนล้านบาท
ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ครั้งล่าสุด มีความเห็นว่า ปัจจุบันจีนส่งออกสินค้าเข้ามาแข่งขันในไทย ส่งผลให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทย “หดตัว” ลงร้อยละ 1.8 ที่สำคัญยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากการรุกเข้ามาของตลาดอีคอมเมิร์ซจีนเป็นการค้ารูปแบบใหม่ของจีน เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยขายสินค้าในราคาถูกส่งตรงจากโรงงานถึงมือผู้บริโภคไม่ผ่านคนกลาง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs ไม่สามารถแข่งขันทั้งด้านราคาและต้นทุนการผลิตกับสินค้าจากโรงงานของจีนได้
กกร.เรียกร้อง ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องบังคับใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัดและมีมาตรการออกมาตั้งรับการไหลทะลักของทุนจีนโดยเร่งด่วน
อันที่จริงสินค้าจีนได้ทะลักเข้ามานานกว่าเกือบ 3 ทศวรรษแล้วตั้งแต่มีการเปิดเสรีการค้าหรือ ”FTA.” ระหว่างอาเซียนรวมทั้งไทยกับจีน ยุคแรก ๆ ก็มาแบบกองทัพมดนำสินค้าเกษตรพืชผักผลไม้เข้ามาก่อน ต่อมาก็เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค กระทั่งพัฒนาเป็นธุรกิจขนาดเล็กพวกร้านอาหาร ทำให้บรรดาร้านอาหารของไทย ต้องปรับตัวหนีตายกันจ้าละหวั่น
แต่ไม่กี่ปีมานี้ ทุนจีนมาแบบทัพใหญ่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เริ่มจาก อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ที่พาเหรดเข้ามาตั้งโรงงาน รุมตีค่ายรถยนต์สันดาปของญี่ปุ่นแตกกระเจิง ทำให้ค่ายรถญี่ปุ่นเช่น ซูบารุ ซูซูกิ ต้านไม่ไหวต้องเลิกผลิตในเมืองไทยหันนำเข้ามาจำหน่ายแทน ส่วนค่ายใหญ่อย่างฮอนด้า ต้องปรับตัวยุติสายการผลิตที่โรงงานอยุธยาไปผลิตร่วมกันในโรงงานที่แปดริ้วแทน
ล่าสุดก็มีความเคลื่อนไหวของธุรกิจ ”ขนส่งศูนย์เหรียญ” ของจีนโผล่ในไทยผ่านบริษัทนอมินี ประเดิมครั้งแรกราว 10,000 คัน ใช้ขนส่งสินค้าจากจีนทั้งหมดพร้อมกับตั้งคลังส่งสินค้าพ่วงด้วย ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจีนที่เข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร ที่เข้ามาชิงขุมทรัพย์ 4 แสนล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารของไทยต้องปิดตัวไปแล้วราว 50% กระแสดังตอนนี้มี “MIXUE” ร้านชานมและไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ทั้งในห้างค้าปลีก ตามถนน ตรอกซอยต่าง ๆ “WEDRINK” ร้านแฟรนไชส์ชานมและไอศกรีม แต่ที่ฮือฮาไม่พ้น “Zhengxin Chicken” แฟรนไชส์ไก่ทอดจากจีน ราคาเริ่มต้นชิ้นละ 15 บาท และร้านกาแฟ “Cotti Cofee” ชูราคา 55 บาท เป็นต้น
ที่น่ากลัวมาก ๆ ตอนนี้ไม่พ้น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช Temu ที่มีจุดแข็งอยู่ที่การนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย ราคาเข้าถึงได้ จัดส่งอย่างรวดเร็ววิธีการบุกตลาดจูงใจด้วยโปรโมชั่นน่าสนใจ และทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ อาวุธลับสำคัญของทุนจีนคือมีต้นทุนต่ำ ในระยะแรกไม่เน้น “ทำกำไร” โดยใช้กลยุทธ์ “ราคา” ทุบตลาดให้ทุนท้องถิ่นตายก่อน
คำถาม ทำไมกลุ่มทุนจีนจึงชอบเข้ามาค้าขายมาลงทุนในเมืองไทย คำตอบง่าย ๆ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นประเทศเปิด การเดินทางเข้าออกจึงง่าย เคยมีข้อมูลว่านักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยแล้วหลบหนีไม่ยอมกลับ แอบมาทำมาหากินเมืองไทยปีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน
ที่สำคัญ กฏหมายไทยไม่เคร่งคัด คนไทยเห็นแก่อามิสสินจ้างยอมเป็น ”นอมินี” อีกทั้งรัฐบาลไม่มีมาตรการภาษีกีดกัน เหมือนอย่าง อินโดนีเซียที่ตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 200% สกัดสินค้าจีน
เหนือสิ่งใด การที่จีนทุ่มตลาดอย่างหนัก สินค้าจีนล้นทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาของสินค้าที่จีนทำออกมาโดนใจผู้บริโภค อีกทั้งในมุมของผู้บริโภคการที่จีนนำสินค้าราคาถูกมาขาย ก็เป็นโอกาสให้คนมีรายได้น้อย ที่เข้าถึงสินค้าราคาไม่แพง อย่างไก่ทอด ชิ้นละ 15 บาท แต่ถ้าไปกินไก่ทอดที่มาจากประเทศตะวันตกเซ็ตละหลายร้อย
ดังนั้น การเข้ามาของทุนจีนก็เหมือนเหรียญสองด้าน กล่าวคือ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือก ได้ใช้สินค้าราคาถูก ส่วนผู้ประกอบการไทยต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ตามแม้ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์แต่ก็กระทบกับอุตสาหกรรมไทยไม่น้อย ซึ่งจะเป็นผลเสียระยะยาว
การที่สินค้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในไทย เป็นเพราะธุรกิจบ้านเราผูกขาดอยู่ในมือกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม ไม่กี่ตระกูลจึงกำหนดราคาตามใจชอบจึงเปิดโอกาสให้ทุนจีนเอาสินค้าราคาถูกมาตีตลาด
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำเร่งด่วน คือ ต้องเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรีไม่ให้มีกลุ่มทุนผูกขาด เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
จับตา “การเมือง” วุ่น… เศรษฐกิจป่วน
“ต่างชาติเช่าที่ดิน” บริบทที่ไม่เหมือนเดิม