Share on
×

Share

5 ธุรกิจชั้นนำของไทย ชูธงองค์กรสานต่อความยั่งยืน

เมื่อวิกฤติความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอลงจากการกินใช้อย่างฟุ่มเฟือย สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมที่นับวันยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อวิถีการดำรงอยู่ของมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณ The Story Thailand จึงอยากชวนจดบทเรียน 5 ธุรกิจชั้นนำจาก 5 อุตสาหกรรมหลักของไทย ซึ่งสะท้อนมุมมองและความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านตัวเองสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวที่พร้อมขับเคลื่อน “กลยุทธ์ธุรกิจสู่ความยั่งยืนและร่วมส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน  ให้เป็นหนึ่งทางเลือกเพื่อสร้างหลายทางรอดในยามที่โลกป่วยและทุกคนต้องช่วย

พลังงานสีเขียวของคนบ้านปู

สำหรับบ้านปูผู้ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปีในการก้าวข้ามการเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าถ่านหินสู่พลังงานสะอาด จากจุดเริ่มต้นการใช้โซล่าร์ฟาร์มในเหมืองแห่งแรกที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2556 เพื่อปรับพอร์ตองค์กรสู่การเป็นธุรกิจสีเขียว ต่อเนื่องถึงการกระชับแผนกลยุทธ์สู่ “Greener Smarter” ในปี 2558  ภายหลังการประชุม COP21 ณ กรุงปารีส ซึ่งฉายภาพผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น 

สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยถึงสูตรสำเร็จ 3A เพื่อเปลี่ยนบ้านปูสู่องค์กรสีเขียว ได้แก่  Acceleration การเร่งเครื่องความเป็น Greener Smarter เพื่อเปลี่ยนบ้านปูให้เขียวขึ้นและเร็วขึ้นอีกในแผน Greener Smarter ฉบับที่ 2 ปี 2564 Augmentationในการสร้างพลังงานยั่งยืน มีความมั่นคง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และราคาเหมาะสมหาซื้อได้ และ Antifragile การล้มแล้วลุกให้เร็วและเติบโตอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยไม่ละทิ้งการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านคนบ้านปูด้วยวัฒนธรรมบ้านปูฮาร์ท เพื่อเป็นรากฐานของระบบนิเวศทางธุรกิจและโซลูชันด้านพลังงานแบบครบวงจรสู่เน็ตซีโร่ รวมถึงการสร้างผลกำไรแบบ EBITDA สำหรับพลังงานสีเขียวและธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้สูงกว่า 50% ของ EBIDA ทั้งหมด เพื่อตอบแทนทั้งลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ได้ในปี 2568 

“เป้าหมาย “One Green One Goal” ในการสานพลังบ้านปูสู่พลังที่ยั่งยืน นำไปสู่การพัฒนากระบวนการทำงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด อาทิ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ดีเซลมาเป็นการติดโซล่าร์ฟาร์มในเหมือง มองหาการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจพลังงานสะอาด อาทิ การลงทุนในสินแร่อย่างลิเธียม นิกเกิล ทองแดง ไฮโดรเจน หรือก๊าซธรรมชาติที่สะอาด การลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ ธุรกิจดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงดิน (CCUS) ทั้งที่ออกมาจากการดำเนินงานต่าง ๆ ของบ้านปู จากบริษัทที่บ้านปูไปซื้อเชื้อเพลิงมาใช้ในกิจการ และอื่น ๆ ที่เหลือทั้งหมด เช่น การขับขี่ยานพาหนะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เป็นต้น เมื่อคำนวณทั้งหมดน่าจะได้ถึง 15-16 ล้านตันต่อปี สามารถสร้างประโยชน์ทางธุรกิจในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ทำให้ก๊าซธรรมชาติที่ขายออกไปเป็นเน็ตซีโร่ 100% หรือสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการขายเป็นคาร์บอนเครดิตในอนาคต”

นอกจากนี้ คือ การวางบทบาทใหม่ของการเป็น “Net Zero Provider” เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านพลังงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 5 รูปแบบ ได้แก่ Smart Energy Generation ระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยหลังคาโซล่าร์ และโซล่าร์ลอยน้ำ พร้อมกับระบบ Energy Monitoring System ในการบริหารการใช้ไฟฟ้า Energy Storage ระบบกักเก็บพลังงานโดยแบตเตอรี่ภายใต้แบรนด์ดูราพาวเวอร์ เพื่อเจาะตลาดโมบิลิตี้ องค์กรที่ต้องการทำฟาร์มแบตเตอรี่ หรือฐานพลังงานรายย่อยต่าง ๆ Energy Trading แพลตฟอร์มการซื้อขายไฟในตลาดเสรี Energy Management and Smart Cityบริการจัดการพลังงานในอาคารหรือเมืองอัจฉริยะด้วยเอไอ ไอโอที ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ และ Mobility แพลตฟอร์มการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ 2-4 ล้อ 

“เราพยายามเติมพลังงานสะอาดเข้าไปในธุรกิจของบ้านปูให้มากขึ้น มุ่งดำรงธุรกิจอยู่ใน DJSI ดัชนีหลักทรัพย์ในการประเมินความยั่งยืนซึ่งดำเนินมาเป็นปีที่ 14 การเดินหน้าธุรกิจตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดย UN ในหมวดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา และด้วยกลยุทธ์ Greener Smarter Faster นับจากนี้ไป จะเป็นสิ่งที่ผลักดันธุรกิจของบ้านปูให้แข็งแกร่ง พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางของโลก และสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจได้อย่างยั่งยืน”

นิคมฯรักษ์โลกโดย WHA 

Mission to The Sun ภารกิจพิชิตดวงอาทิตย์ของกลุ่มธุรกิจดับบลิวเอชเอที่กำลังรีแบรนด์ตัวเองจากการเป็นมากกว่า ผู้สร้าง แต่คือ ผู้พัฒนา การเติบโตและอนาคตที่ยั่งยืนให้กับระบบโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมของไทย สอดคล้องกับพันธกิจหลัก The Ultimate Solution for Sustainable Growth ซึ่งมีการประกาศแผนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนไปตั้งแต่ปี 2564 และตั้งธงสู่ความเป็นเน็ตซีโร่ให้สำเร็จในปี 2573  

 จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉายภาพองค์กรที่มาไกลกว่าการเป็นผู้ให้บริการคลังสินค้า แต่ยังมีภาพของความเป็นโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม บริการระบบสาธารณูปโภคทั้งน้ำและพลังงาน และโซลูชันดิจิทัลต่าง ๆ การเปลี่ยนผ่านความหมายของ WHA เดิมจาก Warehouse Asia Alliance ถูกต่อยอดให้ครอบคลุมมากขึ้นถึงความเป็น Well-Being และ Accessibility ในการเข้าถึงการพัฒนาผู้คนและชุมชนโดยรอบที่ครบถ้วนทั้งการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ธุรกิจต้องได้ และสิ่งแวดล้อมไม่ถูกทำลาย

ถึงตอนนี้ ดับบลิวเอชเอมุ่งหน้าไปแล้วกับการนำพลังงานสะอาดมาใช้ในการดำเนินงานทุกธุรกิจ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งแตกประเด็นย่อยออกเป็น Circular และ ESG โดย E-Environment เป็นการทำธุรกิจต่าง ๆ ที่มีความเป็นกรีน การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีความเป็นสมาร์ทอีโคซิสเท็ม (Smart Eco Industrial Estate) มีความมั่นคงในการบริหารจัดการอินฟราสตรัคเจอร์ที่ไม่ปลดปล่อยของเสียที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ S-Social คือการดูแลช่วยเหลือชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี จัดโครงการปันกันเพื่อร่วมกับชุมชนในการทำอี-มาร์เก็ตเพลส การทำโครงการ Upcycling Project เพื่อส่งเสริมการนำพลาสติกรีไซเคิลผสมกับผักตบชวาที่ได้มาจากโครงการกำจัดน้ำเสียมาทำให้เกิดเป็นวัสดุผ้าไปเย็บเป็นกระเป๋าแจกเด็กนักเรียน เกิดผลพลอยได้ในเรื่องของ G-Governance ความเป็นบรรษัทภิบาลไปพร้อมกัน 

ขณะที่ Circular เป็นการปรับกระบวนทัศน์การทำงานในกลุ่มธุรกิจที่ส่งเสริมแนวคิดและพัฒนานวัตกรรมการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ตลอดจนการซื้อขายพลังงานหรือคาร์บอนเครดิตต่าง ๆ ในอนาคต เพื่อให้เกิดภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สร้างทั้งรายได้ให้กับธุรกิจ ตลอดจนสร้างความยั่งยืนให้กับโลก ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 

สำหรับ Green Logistics เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นเทรนด์ที่ทำให้อุตสาหกรรมรถอีวีเกิด และเมื่อเกิดแล้วต้องนำมาลดต้นทุนขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้จริง ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยเสริม เช่น การจำหน่ายแบบลิซซิ่ง แบตเตอรี่ และสถานีชาร์จและอุปกรณ์จ่ายไฟ รวมถึงเทคโนโลยีเอไอหรือควอนตัมมาเป็นผู้ช่วยคำนวณแนวทางจัดการไปจนถึงกำหนดเส้นทางการวิ่ง (Route Optimization) ที่ลดได้ทั้งระยะเวลาและจำนวนรถที่ใช้งาน ซึ่งหลายองค์กรกำลังผลักดันการพัฒนาซูเปอร์ แอปฯ นี้อยู่ รวมถึงดับบลิวเอชเอด้วย

“การใช้อีวีในเชิงพาณิชย์ (EV Commercial) ต้องเกิด เพื่อให้รอบการขนส่งมากพอจนค่าไฟถูกกว่าการใช้น้ำมัน เช่น ถ้าคุณวิ่งได้สักวันละ 1000 กว่ากิโล คุณสามารถประหยัดต้นทุนได้สักเดือนละสามหมื่นกว่าบาท ซึ่งเราคิดว่า น่าจะเกิดขึ้นได้ในอีก 5 ปี นอกจากนี้ ยังต้องมองหาพลังงานสะอาดอื่น ๆ เช่น ไฮโดรเจน ซึ่งไปได้ดีกับรถบรรทุกหรือรถคอนเทนเนอร์ แทนการใช้แบตเตอรี่ที่ต้องมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเกินไป” 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของ Green Supply chainโดยเฉพาะในหมวดหมู่สินค้าหรือบริการที่ต้องส่งไปทางอียู ซึ่งมีกฎระเบียบชัดเจนว่า ซัพพลาย เชนต้องเป็นกรีน ต้องลดการใช้ทรัพยากรใหม่ หรือนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด นำประเด็นจาก COP21 เข้ามาสู่แผนพัฒนาธุรกิจ เรื่องของโมเดลธุรกิจ BCG เป็นต้น ทำให้ต้องมีการกำหนดแผนเพื่อรองรับ ได้แก่ WHA Circular Innovation การยกเครื่องกลุ่มธุรกิจทั้งหมดสู่แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งในมิติของการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการภายในองค์กร และการสร้างธุรกิจใหม่ 

WHA Circular Waste Management การหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านขยะอุตสาหกรรมหรือวัสดุเหลือใช้กลับเข้าสู่กระบวนการใช้ซ้ำหรือนำกลับมาใช้ใหม่ อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายของเสียเหลือใช้เพื่อจับคู่ผู้สร้างและผู้อยากได้ตั้งแต่การตั้งราคาซื้อขาย การทำข้อตกลง การขนส่ง แดชบอร์ดเพื่อประเมินประสิทธิภาพการจัดการ และการออกรายงานที่สามารถนำไปขอคาร์บอนเครดิตได้ และที่สำคัญคือ สามารถติตตามร่องรอยขยะอุตสาหกรรม หรือขยะใช้แล้วทิ้ง (Disposable) ที่สูญหายระหว่างทางโดยการเอาไปฝังกลบหรือกำจัดทิ้งไม่ถูกวิธี และ WHA Waste Emission Tradingแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานเพื่อจับคู่ธุรกิจที่ปล่อยมลพิษ และธุรกิจที่มีคาร์บอนเครดิต เพื่อให้การซื้อขาย การนับหรือการหักคาร์บอนเครดิตซึ่งทำเป็นโครงการนำร่องในต้นปีหน้า และน่าจะเปิดตัวได้ในราวกลางปี

TCP บรรจุภัณฑ์เพื่อวันที่ดีกว่า

“งานความยั่งยืนนั้นอยู่บนฐานของความเอื้อเฟื้อ และ ESG ไม่ใช่แค่กิจกรรมทางการตลาด หรือซีเอสอาร์ แต่เป็นความยั่งยืนที่เราทำเพื่อคนทั่วโลก แล้ว TCP ไม่อยากแค่เก่งแต่ต้องการเป็นตัวเราที่ดีว่าเดิมในสายตาของลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสังคม” สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ TCP กล่าว

ประมาณ 2 ปีที่แล้ว TCP ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายสู่ “การเป็นองค์กรเพื่อวันที่ดีกว่า การประกอบภาพความยั่งยืนในมิติที่หลากหลายกว่าที่เคยทำมาเพื่อส่งต่อถึงหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร เช่น ภาคการผลิต การตลาด ซึ่งยึดโยงแก่นสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ Product Excellenceการพัฒนาและผลิตบรรจุภัณฑ์ได้ตรงความต้องการผู้บริโภคและขายได้ Circular Economyตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน Carbon Neutrality การส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำ และ Water Sustainability การทดแทนแหล่งน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชน (Net Water Positive) ก่อเกิดเป็นกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนทั้งในและนอกองค์กร 

อาทิ 23% ของไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานมาจากการติดหลังคาโซลาร์ การพัฒนาระบบการผลิตแบบ Smart Manufacturing ให้มีการสูญเสียน้อยลง เรื่องของบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ถือว่าสำเร็จแล้ว 100% ในการนำมารีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็นขวดแก้ว กระป๋อง พลาสติก การเก็บคืนกระป๋องอลูมิเนียมกลับมาได้ถึง 63 ล้านตัน บรรจุภัณฑ์กระดาษ 99% เป็นไปตามมาตรฐาน FSC การลดความหนาหรือน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์เพื่อลดการใช้ทรัพยากร การปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎระเบียบของภาคอุตสาหกรรมอย่าง EPR (Extended Producer Responsibility) อันเป็นหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตต่อวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์ การตั้งเป้าพัฒนาระบบโลจิกติกส์ที่ใช้พลังงานสีเขียวให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2573 การรีไซเคิลน้ำภายในโรงงานเพื่อลดปริมาณการใช้ ความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการพัฒนาลุ่มน้ำ 3 แห่งในพื้นที่ 7 จังหวัด ทำให้สามารถคืนแหล่งน้ำสู่ชุมชนได้ถึง 15 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ การส่งเสริมความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในสายความยั่งยืนในการสร้างโรงงานต้นแบบการเก็บขยะกลับเข้ามาสู่นิเวศของการรีไซเคิล เป็นต้น

ทว่าปัญหาท้าทายของทุกบรรจุภัณฑ์ คือ การทิ้งผิดที่ทำให้การคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ สราวุฒิ เปรยว่า ไม่อยากให้บรรจุภัณฑ์ที่ติดแบรนด์ TCP ถูกทิ้งอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งก็ต้องพยายามหาทางทำให้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะการสร้างการตระหนักรู้ เช่น พาร์ทเนอร์ ซัพพลายเออร์ คนที่ร่วมทำธุรกิจกัน ก็จะชวนคิดชวนตั้งโจทย์เรื่องความยั่งยืน เรื่อง ESG แต่ฟางเส้นสุดท้ายจริง ๆ คงอยู่ที่ ผู้บริโภค เพราะถ้าคุณกินแล้วโยนลงถนน แม่น้ำ ทะเล มันคงไม่มีระบบปฏิบัติการไหนที่คุ้มกับการเก็บขยะมาจากทะเล แม้รถที่ไปตระเวณเก็บขยะก็ยังเป็นตัวปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จึงเป็นเรื่องง่ายกว่าแค่ ทิ้งให้ถูกที่ เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ถูกส่งต่อไปตามเส้นทางการรีไซเคิลได้จึงถือว่าเวิร์คสุด

“ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การเงินกับความยั่งยืนมันเกี่ยวข้องกัน คุณอยากทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน แต่ทำแล้วขาดทุนก็ไม่มีใครอยากทำ แล้วการทำธุรกิจมีความเหนื่อยสารพัด ทำให้บางองค์กรไม่ได้มองความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อน กับชุมชนเองถ้าคุณทำเรื่องขยะ เรื่องน้ำ แล้วมีรายได้เข้าชุมชนถือว่าสำเร็จสองทาง คือได้ทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย ความยั่งยืนด้วย แต่ก็ยังโชคดีว่าความตื่นตัวต่อกระแสความยั่งยืนมีมากขึ้น ซึ่งสำหรับ TCP เอง ความสามารถในการลดการใช้พลังงาน นำไปสู่การลดต้นทุน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร นับเป็นท่าที่ดีที่สุดที่เราทำได้ตอนนี้ โดยยังไม่มองไกลไปถึงขั้นทำกำไร เพราะอย่างน้อยก็เป็นการทำจริง และหวังจะมีคนสนใจอยากเข้าร่วม เพื่อเติมโมเมนตัมให้มีพลังมากขึ้น”

ส่วนความท้าทายเบื้องหน้าคงเป็นการทำให้สินค้า TCP  ตรงใจผู้บริโภคและเข้าใกล้ความเป็นเน็ตซีโร่ให้มากขึ้น การบริหารระบบซัพพลายเชนต้องมีความโปร่งใส สามารถระบุแหล่งที่มาของวัตถุดิบ การผลิต การขนส่งจนไปจบที่ผู้บริโภค ตลอดจนการสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำซึ่งต้องอาศัยพลังชุมชนในการร่วมผลักดัน 

“เรามีการพูดคุยเยอะกับซัพพลายเออร์ในแต่ละประเทศว่า เขามีแผนเรื่องความยั่งยืน เรื่องคาร์บอนฟุตพรินท์อย่างไรบ้าง  อีกเรื่องคงเป็นการหาข้อสรุปว่า อีวีใช่คำตอบของกรีนโลจิสติกส์แน่ไหม ถ้าทุกคนใช้อีวีกันหมด ไฟฟ้าจะมาจากไหน หรือ การสำรวจเทคโนโลยีใหม่อย่าง Deep Technology ที่จะพาเราไปสู่เน็ตซีโร่อย่างที่หวังไว้”

เกษตรยั่งยืนที่มิตรผล

อิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกิตติศักดิ์ กลุ่มมิตรผล สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศซึ่งส่งผลกระทบทางตรงต่อประเทศเกษตรกรรม ในฐานะที่มิตรผลอยู่ในธุรกิจภาคการเกษตร ดำเนินระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) เพื่อส่งเสริมชาวไร่อ้อยรวม 2 ล้านกว่าไร่ ก็ต้องประเมินว่า หากไม่ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ โรงงานก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้น ความยั่งยืนในธุรกิจต้องมีวัตถุดิบที่พร้อมและเศรษฐกิจชาวบ้านต้องอยู่ได้ 

“ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมก็จริง แต่สามารถสร้างรายได้แค่เพียง 9% เมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและบริการ ส่วนหนึ่งมาจากเพาะปลูกพืชที่ขายไม่ได้ราคาดี เช่น ข้าวที่ขายได้อย่างมาก 700 กว่าเหรียญ อ้อยได้ 2 เหรียญ ต่างจากพืชอย่างแอสพารากัส ขิง พริกไทย องุ่น ซึ่งอาจทำรายได้ถึง 2 หมื่นเหรียญ ซึ่งเราก็พยายามทำให้การปลูกอ้อยสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ถึง 3 หมื่นบาทต่อไร่”

สิ่งที่มิตรผลได้ดำเนินการเริ่มต้นจาก การจัดหาแหล่งน้ำ อย่างพอเพียงให้กับเกษตรกรเพื่อป้องกันภาวะขาดแคลน การขุดบ่อ สระน้ำ รวม 17,000 จุด เจาะบ่อน้ำบาดาลอีกราว 4 หมื่นกว่าบ่อ การออกแบบระบบน้ำพุ่งและน้ำหยดในการรดผลผลิตเพื่อเป็นการประหยัดน้ำให้ได้มากที่สุด การอุดหนุนเครื่องมือในการช่วยเกษตรกรระเบิดดินดานเพื่อให้เกิดการกักเก็บน้ำใต้ดิน สนับสนุนเรื่องการใช้เครื่องจักรในการเก็บผลผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เช่น อ้อย 750 ตัน เคยใช้คน 600 คน ปัจจุบันเหลือเพียง 30-40 คน

การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การรับซื้อชานอ้อยเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลซึ่งได้ถึง 700 เมกะวัตต์ และเหลือขายคืนให้รัฐได้ 300 เมกะวัตต์ การพัฒนากระบวนการนำกากน้ำตาลมาหมักยีสต์เพื่อให้ได้เอทานอลไปผสมเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสะอาด สามารถลดการเกิดมลพิษในอากาศ และ การทำของเสียให้เหลือน้อยที่สุด เช่น กากน้ำตาลเหลือทิ้งก็นำไปทำเป็นปุ๋ย ขณะที่ยีสต์สามารถนำไปใช้เป็นโปรตีนในการผลิตอาหารสัตว์ 

“การแตะให้ถึงเน็ตซีโร่ยังมีอะไรให้ต้องทำอีกเยอะ เพราะไม่ใช่แค่คาร์บอนไดออกไซด์อย่างเดียว แต่ยังมีก๊าซอื่นอีกกว่า 6-7 ชนิด เช่น มีเทน ไนตรัสออกไซด์ อีกทั้งยังมองไม่เห็นว่าหน่วยงานไหนจะเป็นเจ้าภาพโดยตรง ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องช่วยกันไป การที่มิตรผลทำเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน การได้ประเมินความยั่งยืนเรื่องอาหารตามดัชนี DJSI เป็นของดีตรงที่ทำให้บริษัทข้ามชาติมาซื้อน้ำตาลจากเรา และในอนาคตก็จะเป็นไปในทิศทางนี้ ถ้าธุรกิจใดไม่คิดเรื่องความยั่งยืน ไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก็จะถูกปฏิเสธการซื้อสินค้า และไม่ใช้บริการ” 

SCGC เม็ดพลาสติกมิตรสิ่งแวดล้อม

เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) หนึ่งในธุรกิจเอสซีจีซึ่งรับผิดชอบผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมี บรรจุภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง กลุ่มเม็ดพลาสติก ไวนิล พอลิเมอร์ และทุกธุรกิจที่ทำ ณ ขณะนี้มีเพนพอยต์ที่เกี่ยวข้องการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทบทั้งสิ้น

ธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เอสซีจีซีมีการขับเคลื่อนในเรื่อง ESG ทั้งประเด็นสภาพแวดล้อม ความเป็นกลางทางคาร์บอน การทำงานร่วมกับชุมชน การปฏิบัติตามข้อกฎหมายต่าง ๆ บนพื้นฐานของ การเป็นพลเมืองที่ดี ในทุกประเทศที่องค์กรได้ไปลงทุนทำธุรกิจ 

“หลายปีที่เวลาพูดถึงเศรษฐกิจหมุนเวียน เราก็มักจะพูดกันถึงขยะพลาสติก เอสซีจีซีเองก็ขับเคลื่อนโดยใช้คำว่า Low waste Low Carbon เมื่อของเสียเหลือน้อย คาร์บอนก็น้อยลง เราพยายามแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางไปสู่ปลายทาง หากมีการแยกและการกักเก็บที่ดีก็ไม่มีปัญหา จนกระทั่งไปเจอมุมที่สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกให้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ต่อลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม”

ตัวอย่างเช่น กรีน พอลิเมอร์ ซึ่งตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วว่าจะผลิตให้ได้ 1 ล้านตันในปี 2573 โดยใช้เทคโนโลยี SMX™ เพื่อให้ได้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรักษ์โลกที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ลดการใช้พลังงาน การทำ Recyclable เพื่อให้ขยะนำกลับมารีไซเคิลได้ง่าย หรือการนำพลาสติกที่ผ่านการใช้งานมาแล้วมาพัฒนาเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล PCR (Post Consumer Recycled) และสุดท้ายการ Renewable โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ เช่น การผลิตเม็ดพลาสติกจากเอทานอลที่ได้จากอ้อย เป็นต้น

การทำโซล่าร์ลอยน้ำเพื่อลดการใช้พลังงานในโรงงาน การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด หากไม่ได้ก็อาจต้องใช้เทคโนโลยี Conversion เข้าช่วย โดยเอสซีจีซีมีความร่วมมือกับประเทศในยุโรปในการสร้างต้นแบบการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นปิโตรเคมีชนิดหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นโครงการนำร่อง ซึ่งหากต่อยอดได้จะทำให้สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนเข้าสู่ยุคสังคมคาร์บอนต่ำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในที่สุด

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน

Asina Pornwasin Avatar