Share on
×

Share

รู้จัก ‘ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย’ ผู้ก่อตั้งบริษัทเอไอไทยแท้ Synapes และนายกฯ AIEAT

ยุคนี้ AI (Artificial Intelligence) เริ่มขึ้นมาเปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็วในหลายวงการ สร้างการเติบโตและความคาดหวังในบางบริษัทและบางประเทศที่มีความพร้อมด้านนี้ พร้อมกันนี้ หลายฝ่ายก็กังวลว่าประเทศไทยจะล้าหลังและ “ตกขบวน” เอไอ เพราะหลายคนยังเข้าใจว่าประเทศไทยยังไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เลย แต่ที่จริงแล้วในไทยยังมีผู้เชี่ยวชาญเอไอตัวจริงเสียงจริง ที่ศึกษา วิจัย และสอนศาสตร์ด้านนี้อย่างลึกซึ้งโดยตรงมานานนับสิบปี ตั้งแต่สมัยที่เอไอยังเป็นแค่เรื่องของงานวิจัยเท่านั้น และมาถึงปัจจุบัน เขาคนนี้ก็มีทั้งบริษัทด้านเอไอและร่วมก่อตั้งและขับเคลื่อนกลุ่มคนไทยที่สนใจด้านนี้อยู่ด้วย

บุคคลนั้นก็คือ ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท SYNAPES และนายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย หรือ AIEAT (Artificial Intelligence Entrepreneur Association of Thailand)

เรียนและวิจัย AI ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว

“ปัจจุบัน AI มันอยู่ใกล้ตัวเรามาก แต่ 10 กว่าปีก่อน มันยังอยู่ในห้อง Lab ใช้งานจำกัดวง” ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

ดร.ชาญวิทย์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้เริ่มศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับ AI อย่างจริงจัง ด้วยพื้นฐานวิศวะไฟฟ้าจากสมัยปริญญาตรี เมื่อมาเรียนปริญญาโท เจอวิชาเลือก ที่มีชื่อเกี่ยวกับ Artificial Intelligence ดร.ชาญวิทย์จึงสนใจไปเลือกเรียน และเริ่มต้นการรู้จักและสนใจ AI นับแต่นั้นมา

หลังจากเริ่มเรียนปริญญาเอก ดร.ชาญวิทย์ เริ่มใช้งาน AI จริง ๆ ในแอปพลิเคชันเรื่องพลังงาน โดยใช้ประเมินความเสี่ยงในอุตสาหกรรม เป็น Apply AI ในเชิงวิศวกรรมไฟฟ้า กับวิศวกรรมพลังงาน

สอนและร่วมก่อตั้งกลุ่มผู้สนใจ AI ไทย

หลังเรียนจบ ดร.ชาญวิทย์ มีโอกาสได้ไปสอนหนังสือเพื่อใช้ทุนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตวังไกลกังวล หัวหิน ควบคู่ไปกับการทำวิจัย หลังจากนั้น ย้ายมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า อยู่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในช่วงปี พ.ศ. 2558

ช่วงนั้นเองที่มีกระแสกลุ่มสตาร์ตอัพในไทย มีกลุ่ม community ที่ co-working space ชื่อดังคือ “Hubba” ซึ่ง ดร.ชาญวิทย์ ได้ไปเริ่มถ่ายทอดเรื่อง AI ที่นั่น ต่อเนื่องไปจนถึงการไปบรรยายในงานใหญ่ ๆ ระดับชาติ เช่น งาน Startup Thailand

นอกจากที่เชียงใหม่แล้ว ดร.ชาญวิทย์ ยังเริ่มตั้งกลุ่ม community ด้าน AI ที่กรุงเทพฯใน ชื่อว่า “Bangkok AI” โดยจัดงานพบปะแลกเปลี่ยน meet up มีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคนอยู่เป็นประจำ ประเด็นที่แลกเปลี่ยนและนำเสนอกันในกลุ่มในยุคนั้น คือการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ธุรกิจค้าปลีก การเงิน ไปจนถึงสำหรับการแพทย์ และหลายครั้งก็เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้สนใจในต่างประเทศด้วยเช่นที่อัมสเตอร์ดัม ฮ่องกง ฯลฯ ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่าเป็นเครือข่าย “City AI” โดยมี ดร.ชาญวิทย์ เป็นผู้นำกลุ่ม “Bangkok AI” ร่วมกับ ดร.วโรดม คำแผ่นชัย ปัจจุบันเป็น CEO ของ AltoTech Global

หลังจากโควิดผ่านพ้นไป ดร.ชาญวิทย์ และ ดร. วโรดม ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการ AI ในไทยหลาย ๆ คน ยกระดับกลุ่ม Bangkok AI ขึ้นเป็น “สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย” หรือ AIEAT ซึ่งย่อมาจาก “Artificial Intelligence Entrepreneur Association of Thailand”  

“พันธกิจสำคัญ คือ เราต้องการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการด้าน AI ในไทย รวมถึงคุณภาพด้วยให้แข่งขันกับระดับโลกได้ด้วย เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยเทคโนโลยี AI ในเชิงของการพัฒนาเศรษฐกิจต่าง ๆ การเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการต่าง ๆ”

เริ่มธุรกิจ AI ภาษาแล้วเปลี่ยนมาทำ AI กล้องวงจรปิด

เมื่อแต่งงานมีครอบครัว จึงย้ายไปอยู่จ.เชียงใหม่ ดร.ชาญวิทย์ ได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิต ไปเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ Northern Innovative Startup Thailand ที่นั่น และเห็นโอกาสทำ AI ในเชิงธุรกิจ และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจ startup ของตัวเอง นั่นก็คือ บริษัท Synapes Thailand ในปี 2560 โดยนอกจากเป้าหมายทางธุรกิจแล้ว ก็มีความตั้งใจในภาพใหญ่ด้วย

“ถ้าประเทศเราไม่พยายามสร้างเทคโนโลยีอะไรขึ้นมาเลย เราใช้แต่ของต่างประเทศอย่างเดียวเนี่ยวันหนึ่งเราก็จะลำบาก”

ช่วงแรก Synapes ทำเทคโนโลยีในเรียนรู้และโต้ตอบภาษาไทยในชื่อว่า “สมศรี” (Somsri.ai ) แต่ต่อมาก็เปลี่ยนทิศทางธุรกิจ หันไปทำระบบการวิเคราะห์ภาพวิดีโอ โดยเน้นในด้านความปลอดภัย และยึดเป็นธุรกิจหลักมาถึงปัจจุบัน เหตุผลหลักของการเปลี่ยนแปลงก็คือ “เป็นธุรกิจที่มี value และลูกค้ายอมจ่าย” หมายถึงว่า ระบบนี้สามารถป้องกันความเสียหายที่เป็นมูลค่าสูงกว่าราคาที่ต้องจ่ายไปมาก จนคุ้มที่ลูกค้าจะลงทุนนั่นเอง

เรื่องนี้ดร.ชาญวิทย์ยกตัวอย่างว่า วงการค้าปลีกไทยทุกวันนี้ มีการทุจริตสูงถึง 1.6% ของยอดขาย ฉะนั้นจากยอดขายรวมทั้งประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท ก็มีการรั่วไหลยักยอกกันสูงถึงประมาณปีละราว 4 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว นั่นบ่งชี้ว่าการนำ AI มาใช้ทำ “Fraud Detection” (การตรวจจับทุจริต) และใช้ตรวจป้องกันแก้ไขอุบัติเหตุ จะช่วยลดมูลค่าความสูญเสียได้มาก ทำให้ลูกค้าบริษัทองค์กรต่าง ๆ ยินดีลงทุนสูงตามไปด้วย เพราะได้ ROI (Return On Investment) ที่คุ้มค่ากับการลงทุน ระบบวิเคราะห์วิดิโอที่ว่านี้ มีชื่อมีแบรนด์ว่า “SELEN” สามารถวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิด แล้วตรวจจับบุคคลและเหตุการณ์ที่ผิดปกติได้

“เราทำเฉพาะส่วนที่เป็น software เป็น video analytics ที่สามารถทำงานกับอุปกรณ์กล้องหรือ hardware ยี่ห้ออะไรก็ได้”

ตัวอย่างการใช้งาน Selen AI ก็เช่นตรวจจับการโจรกรรมและเหตุการณ์รุนแรงในศูนย์การค้า หรือตรวจจับการบุกรุกหรือเพลิงไหม้ในโรงงานหรือพื้นที่ก่อสร้าง หรือแม้แต่สภาพการจราจรหรือความปลอดภัยในที่จอดรถ เป็นต้น นั่นคือการแก้ pain point ของการใช้กล้องวงจรปิด เช่นการที่ต้องมีคนมานั่งดูตลอดเวลาเพื่อแก้ไขอุบัติเหตุได้ทันท่วงที หรือการที่ต้องมานั่งดูย้อนหลังนานหลาย ๆ วันเพื่อตรวจหาการลักทรัพย์ การทุจริต ก็เปลี่ยนมาใช้ AI ตรวจจับแทน

“เรา pivot (เปลี่ยนผลิตภัณฑ์) จาก Somsri มาเป็น Selen เพิ่งเริ่มมา 2 ปี เป็นช่วงกำลังขยาย ก็มีลูกค้าเป็นบริษัทใหญ่ ๆ เยอะ”

ลูกค้าปัจจุบันของระบบ SELEN มีทั้งธุรกิจค้าปลีก โรงงาน คลังสินค้า อาคาร ฯลฯ ในไทย และกำลังวางแผนจะขยายไปหาลูกค้าบริษัทองค์กรต่างประเทศด้วย ส่วนการแข่งขันปัจจุบันในไทย นั้นก็มีคู่แข่งทั้งจากต่างประเทศและในไทยบ้างแล้ว  ซึ่งทาง Synapse ก็แข่งขันทั้งด้วยทั้งตัวซอฟต์แวร์และที่สะสมข้อมูลจากการใช้งานจริงในไทยมามากรวมถึงบริการหลังการขายด้วย

ระดมทุนเพิ่มและเข้าตลาดหุ้นในอนาคต

ปัจจุบันบริษัท Synapes ยังจัดเป็น startup ขนาดเล็ก แต่ก็กำลังเริ่มระดมทุนจากกองทุนในต่างประเทศ แหล่งทุนก็คือ “angel investor” (นักลงทุนใน startup ที่พร้อมรับความเสี่ยงสูง) และกองทุน venture capital (กองทุนที่ตั้งมาเน้นลงทุนใน startup และพร้อมรับความเสี่ยงสูงเช่นกัน) เป้าหมายเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาหา product อื่น ๆ นอกจาก SELEN ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นวิถี startup ที่อนาคตอาจโตต่อเนื่องไปทำ IPO (Initial Public Offering) เข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไปด้วย

เหตุผลที่เน้นหาแหล่งทุนจากต่างประเทศนั้น เพราะ ดร.ชาญวิทย์ มองว่าการหาทุนสำหรับ startup ในไทย มักจะต้องไปขอระดมจากกองทุนของบริษัทใหญ่ต่างๆ หรือที่เรียกว่า Corporate Venture Capital หรือ CVC ซึ่งมักจะคาดหวังผลอย่างรวดเร็วกว่ากองทุนของต่างประเทศ ผลตอบแทนที่บริษัทใหญ่ ๆ หรือกองทุน CVC ในไทยคาดหวังอย่างรวดเร็วนี้ ก็มีทั้งที่เป็นตัวเงินรายได้ หรือผลตอบแทนจากการที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการของ startup นั้นๆจะช่วยเติมเต็มหรือเสริมธุรกิจของบริษัทแม่ก็คือ CVC เองได้

นั่นต่างจาก Venture Capital หรือ VC ต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะคาดหวังผลตอบแทนเช่นกัน แต่ก็จะเน้นไปการสร้างนวัตกรรมและสร้างฐานเพื่อความเติบโตระยะยาวก่อน และให้น้ำหนักตรงนี้มากกว่าจะคาดหวังผลตอบแทนระยะสั้น ซึ่งก็เป็นการลงทุนจาก VC แบบหลังนี่เองที่บริษัท Synapes กำลังต้องการ เพื่อที่จะพัฒนา product เดิมและสร้าง product ใหม่ให้มีนวัตกรรมมากขึ้น และทำธุรกิจให้พร้อมที่จะเติบโตได้ไกลๆ มากกว่าจะเน้นผลตอบแทนในระยะสั้น

ตัวกลางสร้างโอกาส AI ecosystem ในไทย

ในหมวกอีกใบ คือในฐานะนายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) นั้น ดร.ชาญวิทย์เผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทที่ทำธุรกิจ AI โดยตรง (เช่นบริษัท Synapes เอง) อยู่ประมาณ 150 บริษัท จำนวนนี้ถือว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ซึ่งมีถึงประมาณ 2 พันบริษัทแล้ว ส่วนที่ประเทศจีนนั้นเกิน 1 แสนบริษัทไปแล้ว ซึ่งนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในภารกิจของสมาคม AIEAT เองที่จะพยายามเพิ่มผู้ประกอบการไทยด้านนี้ทั้งด้วยปริมาณและคุณภาพ

นอกจากเพิ่มบริษัท AI แล้ว อีกภารกิจคือส่งเสริมให้บริษัทที่ทำธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะบริษัทใหญ่ กลาง หรือ SME ด้านอื่น ๆ มีความพร้อมและการประยุกต์ใช้ AI ได้อย่างเชี่ยวชาญ และขั้นต่อไปอีก ก็คือ AIEAT จะประสานให้บริษัทอื่น ๆ นั้น ได้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ AI จากบริษัท AI ไทยด้วยกัน เพื่อส่งเสริมกันในประเทศทั้งในทางเศรษฐกิจ GDP และทางข้อมูลยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ดร.ชาญวิทย์มองว่า ธุรกิจในไทยค่อนข้างตื่นตัวเปิดรับนวัตกรรมด้าน AI กันแล้ว เหลือแต่ส่งเสริมกระตุ้นให้ยินดี และกล้าใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากคนไทยด้วยกันมากขึ้น แต่ฝ่ายบริษัท AI ไทยเองก็ต้องควบคุมคุณภาพให้ดีพอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อสานต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในภาพรวม จากนั้นองค์ความรู้ AI ในประเทศก็จะกว้างใหญ่ขึ้น เช่น รู้ว่าอุตสาหกรรมนี้ต้องการอะไร? ธุรกิจวงการนั้นต้องการอะไร? องค์กรแบบนั้นต้องการอะไรเป็นพิเศษจาก AI? และใช้อย่างไรจะได้ประสิทธิภาพที่สุด? เป็นต้น 

นอกจากการประสานทั้งสองฝ่ายที่ว่าไปแล้ว ยังมีอีกฝ่าย คือสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งนักศึกษา และอาจารย์ ก็สามารถเข้ามาเรียนรู้จากเคสต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อเรียนรู้และต่อยอดพัฒนาไปในอนาคตได้อีกด้วย

เมื่อสมาคม AIEAT สร้าง AI community หรือเครือข่าย ecosystem ด้าน AI แบบนี้สำเร็จ ประเทศไทยโดยส่วนรวมก็จะได้ประโยชน์ และเพิ่มศักยภาพทาง AI และไม่ตกกระแสการปฏิวัติใหญ่ทางเทคโนโลยีในที่สุด

จาก 2 บทบาทที่เห็นนี้ ทั้งการเป็น CEO บริษัทเอไอ และการเป็นนายกสมาคม AIEAT และจากความเป็นคนรุ่นใหม่ จึงนับได้ว่า ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย เป็นอีกบุคคลสำคัญคนหนึ่งในบุคลากรตัวจักรสำคัญ ที่ขับเคลื่อนและเป็นความหวังของวงการ AI ไทย ทั้งปัจจุบันและในอนาคตต่อไป

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดร.ลิสา พัทธ์วิวัฒน์ศิริ กับภารกิจปลดล็อกพลังดิจิทัลของ KING POWER

“รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล” แห่ง BDI กับความท้าทายบนเส้นทาง Data Driven Nation

“สิทธิเดช มัยลาภ” สยายปีก “Sky ICT” จาก System Integrator สู่ Global Tech Company ด้าน Aviation

×

Share

ผู้เขียน