กลายเป็นไฟลามทุ่ง ดูท่าจะรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เสียแล้ว สำหรับควันหลงจากกรณีที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ส่งชาวอุยกูร์ที่ถูกทางการไทยกักตัวไว้ เพื่อรอส่งไปยังประเทศที่สามกลับภูมิลำเนาเดิมที่ประเทศจีนแบบมีเงื่อนงำเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นัยว่าเป็นไปตามคำขอร้องของรัฐบาลจีน เพื่อแลกกับการช่วยปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ที่สร้างความเสียหายทางทรัพย์สินเงินทองของคนไทยมหาศาล และคนจีนจำนวนไม่น้อยถูกแก๊งค์ค้ามนุษย์หลอกมาทำงาน
พลันที่รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน เสียงประนามทั้งจากคนไทยเอง จากยูเอ็น และอีกหลายๆประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากจะประนามแล้วสถานฑูตอเมริกาและสถานฑูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ยังประกาศเตือนให้ประชาชนของตนที่อยู่ในประเทศไทยระวังอันตรายอาจจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงให้หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยงพื้นที่ที่มีคนมาก แค่สองประเทศนี้ประกาศก็ถือว่าส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ประเทศไทย ทำให้การท่องเที่ยวพลอยโดนหางเลขไปด้วย นักท่องเที่ยวที่คิดจะมาเที่ยวเมืองไทยคงเปลี่ยนใจ ไม่มีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงเพราะเคยมีโศกนาฏกรรมจากกรณีนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้วเกรงว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอย
สะเทือนถึงการท่องเที่ยวไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวนักท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามเป้า สถานการณ์อาจจะแย่ลงกว่าเดิม ทั้งที่เป็นเครื่องยนต์เดียวที่เป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในเวลานี้
แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปอีก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐสภายุโรปผ่านมติร่วมประนามไทยที่เนรเทศชาวอุยกูร์กลับจีน ในมติดังกล่าว ระบุว่า “ทางการไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คน ไปยังจีน ซึ่งพวกเขาเสี่ยงต่อการถูกกักขังโดยพลการ การทรมาน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ในขณะที่ประเทศที่ปลอดภัยอื่น ๆ ได้เสนอให้ที่อยู่ใหม่แก่ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ซึ่งก่อนเนรเทศบุคคลเหล่านี้ถูกควบคุมตัวในศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองของไทยเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ซึ่งมีรายงานว่าชาวอุยกูร์ อย่างน้อย 5 ราย รวมถึงผู้เยาว์เสียชีวิตเนื่องจากสภาพที่ไร้มนุษยธรรม”
ฟังดูแล้วเป็นข้อกล่าหาที่ค่อนข้างรุนแรง ในที่ประชุมยังมีข้อเสนอ บางเงื่อนไขที่จะใช้กดดันไทยโดยรัฐสภายุโรป ได้เรียกร้องไปยังคณะกรรมาธิการยุโรป ใช้ประโยชน์จากการเจรจาการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ. กดดันให้ประเทศไทยปฏิรูปกฏหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ
การใช้เงื่อนไขด้านการค้าระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือกดดันนั้น เป็นไม้ตายที่กลุ่มอียูค่อนข้างถนัดและใช้ได้ผลจนเราต้องปฏิบัติตาม อย่างที่ผ่านมาอียู.ใช้มาตรการกีดกันทางการค้าบีบไทยแก้กฏหมายประมง ที่เป็นการทำประมงแบบผิดกฏหมาย ขาดการรายงาน ขาดการควบคุม (IUU) ส่งผลกระทบธุรกิจประมงของไทยต้องเจ้งระเนนระนาด เรือประมงนับพัน ๆ ลำต้องถูกทิ้งไว้ชายฝั่งไม่สามารถออกไปจับปลาได้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล
ครั้งนี้ อียู.ยังคงใช้มาตรการการเจราการค้าระหว่างประเทศซึ่งหมายถึงมาตรการเอฟทีเอ. ที่เรารอคอยมานานเกือบๆสิบปีเป็นไม้ตายบีบไทย ซึ่งจะทำให้การเจรจาเอฟทีเอ.ทั้งสองฝ่ายในรอบต่อไปมีอุปสรรคไม่ราบรื่นแน่ ๆ
ที่ผ่านมาไทยพยายามเร่งเครื่องการเจรจามาโดยตลอดเพื่อจะใช้สิทธิพิเศษระหว่างกัน ในการขยายตลาดและดึงนักลงทุนจากยุโรปเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเวียดนามมาทีหลังไทยแต่สามารถเจรจาสำเร็จไปแล้ว ทำให้เกิดข้อตกลงใหม่ ๆ ระหว่างเวียดนามกับยุโรปมากมาย ที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเวียดนามอย่างมหาศาล
ทำไม เอฟทีเอ.จึงมีความสำคัญกับไทย?
ก็ต้องบอกว่า อียู เป็นตลาดใหญ่มีสมาชิกทั้งหมด 27 ประเทศ ที่สำคัญ อียู เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น แต่ไทยขาดดุลจีนกับญี่ปุ่นมาโดยตลอด แต่กลับเกินดุลการค้าสหรัฐกับอียู. การค้าไทยกับอียู.ในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 1.77 ล้านบาท ไทยเป็นฝ่ายส่งออกเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12 ทำให้ไทยได้ดุลการค้าอียู.กว่า 2 แสนล้านบาท และถ้าการเจรจาเอฟทีเอ. สำเร็จ จะทำให้จีดีพี. ของไทยโตขึ้นอีกร้อยละ 1.8 ทันที
แต่เมื่ออียู.ใช้เงื่อนไขการเจรจาเอฟที. มากดดันน่าจับตาดูว่ารัฐบาลแพทองธาร จะแก้หมากเกมนี้อย่างไร
ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก จู่ ๆ หลังจาก อียู.ประนามไทยไม่ทันไร มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ออกประกาศ จำกัดการออกวีซ่าและยกเลิกวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน
นักวิเคราะห์มองว่า ไทยอาจจะต้องระมัดระวังต่อท่าทีเรื่องนี้ อย่างมากเนื่องจากกำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐในประเด็นการค้าด้วย หากเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ประเมิน โอกาสที่ไทยจะโดนมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐเพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลไทย จึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้
อย่าลืมว่าตลาดสหรัฐมีความสำคัญกับสินค้าส่งออกของไทยมาก สหรัฐยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยมานาน ในปีที่ผ่านมาไทยเกินดุลการค้าสหรัฐมากถึง 1.2 ล้านล้านบาท ถ้าต้องโดนมาตรการกีดกันทางการค้ามาซ้ำเติม นั่นหมายความว่าเราจะสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญไปในที่สุด แม้การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐจะเป็นรองการค้าระหว่างไทยกับจีนก็ตาม แต่ไทยกลับขาดดุลการค้าจีนมาตลอด ล่าสุดไทยขาดดุลจีนมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท เพราะส่วนใหญ่เรานำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าที่จีนนำเข้าสินค้าไทย
หากปัญหาลุกลามบานปลายไปถึงการค้าการส่งออกของไทยไปยังตลาดยุโรปและอเมริกาคงเป็นเรื่องน่าเสียดายเนื่องจากทั้งสองตลาดรวมกันมีสัดส่วนในการส่งออกของไทยมากถึง ร้อยละ26.4 งานนี้หนักกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิดจริง ๆ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
เหรียญสองด้าน ‘กาสิโน’ ปั๊มเศรษฐกิจ
ปีนี้ซึมยาว… ปีหน้าประเทศไทยเสี่ยงทรุด