บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยแนวทางการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 มุ่งเน้นการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่พลังงาน พร้อมทั้งพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในยุคปัจจุบัน พร้อมขยายธุรกิจเข้าสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยี ซึ่งช่วยในการรองรับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมพลังงานโลกได้มากยิ่งขึ้น
สู่เส้นทางพลังงานที่ยั่งยืน
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางและเป้าหมายหลักของบ้านปูในการมุ่งสู่พลังงานที่ยั่งยืนและการเติบโตในอนาคต โดยมีเป้าหมายในการสร้างพลังงานที่ยั่งยืนและพัฒนาธุรกิจพลังงานใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเคสของการผลิต Coal Seam Gas (CSG) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยให้โลกใช้พลังงานสีเขียวได้มากขึ้น บ้านปูเองมองว่า ธุรกิจพลังงานยังคงต้องการพลังงานแบบดั้งเดิม เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ แต่จำเป็นต้องทำให้สะอาดขึ้นโดยการผลิตพลังงานควบคู่กับพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม เพื่อสร้างความสมดุลในระบบพลังงาน
นอกจากนี้ ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI และประชากรโลก บ้านปูเห็นความจำเป็นในการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม แต่เน้นการทำให้พลังงานเหล่านี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งในด้านการลงทุน บ้านปูมีพอร์ตโฟลิโอประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- Energy Resource จัดหาทรัพยากรพลังงาน โดยลงทุนในเหมืองแร่ (Mining) ที่เกี่ยวกับการขุดและการผลิตถ่านหิน และยังเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ในฐานะ Integrated Gas Producer ซึ่งดำเนินการในหลายประเทศเพื่อจัดหาพลังงานจากธรรมชาติ
- Energy Generation ผลิตพลังงาน ลงทุนใน Thermal Power ซึ่งเป็นพลังงานจากแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ และ Renewable Energy ที่เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนจากแหล่งพลังงานสีเขียว เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และ พลังงานลม (Wind) แสดงให้เห็นว่า บ้านปูให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น
- Technology ลงทุนใน New S-Curve in Energy & Beyond รวมถึงการพัฒนา E-mobility, Energy Management Systems (EMS) และ การซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) นอกจากนี้ยังเน้นไปที่ การผลิตแบตเตอรีที่มีการบูรณาการในแนวดิ่ง เช่น การผลิต, การนำไปใช้ในระบบจัดเก็บพลังงาน (BESS), และการรีไซเคิลแบตเตอรี่ (Battery Recycling)
ชูกลยุทธ์ 3Ds สร้างธุรกิจให้ยั่งยืนในอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา
การจะสร้างธุรกิจให้ยั่งยืนได้นั้น บ้านปูจะเน้นไปที่ 3 ส่วนคือ Decentralization, Digitalization และ Decarbonization โดยจะเน้นไปโฟกัสที่ Digitalization และ Decarbonization เพราะธุรกิจแก๊ส ธุรกิจถ่านหินยังสำคัญต่อโลกนี้ไปอีกหลายปี การที่จะทำให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถคงอยู่ได้จะต้องนำ Digitalization เข้ามาช่วย โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy Systems) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูล การใช้ระบบอัตโนมัติ และการวิเคราะห์เพื่อทำให้กระบวนการผลิตพลังงานและการจัดการทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ส่วน Decarbonization มุ่งเน้นการเติบโตและการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น พลังงานหมุนเวียน, การจับและเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS), แร่สำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น Nb5 ซึ่งเป็นแร่ที่มีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีอนาคต และในอันดับแรกจะโฟกัสในอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกาเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนี้
- อินโดนีเซีย บ้านปูดำเนินธุรกิจเหมืองถ่านหินอย่างมีความรับผิดชอบ ลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในอินโดนีเซีย
- สหรัฐอเมริกา เน้นการส่งเสริม Digitalization และ Decarbonization ด้วยโครงการต่าง ๆ เช่น
- การดำเนินโครงการ Pad of the Future โดยปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero สำหรับ Scope 1 และ Scope 2 ภายในปี 2030
- บ้านปูร่วมมือกับ Kiewit (ส่งมอบก๊าซธรรมชาติที่จับคาร์บอนไว้ผ่านท่อส่งให้กับ Kiewit) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2024
- บ้านปูยังร่วมมือกับ ENGIE เพื่อส่งมอบก๊าซธรรมชาติ 10,000 MMBtu/d และเครดิตคาร์บอนที่จับได้ภายในเดือนธันวาคม 2023
- การพัฒนา Solar Farm ขนาด 2.5 MW ที่รัฐเท็กซัส ซึ่งจะสร้างพลังงานจากแสงอาทิตย์และออกใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (SRECs) เพื่อใช้ลดการปล่อยก๊าซตาม Scope 2 ภายในสิงหาคม 2024
- มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้าน เช่น ใช้เทคโนโลยี FLIR (Forward-Looking Infrared) ในการตรวจจับการรั่วไหลและซ่อมบำรุง เป็นต้น
ครึ่งปีแรก รายได้รวมประมาณ 88,425 ล้านบาท
อริศรา สกุลการะเวก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) สรุปข้อมูลผลประกอบการของกลุ่มบริษัทบ้านปู ไตรมาสที่ 2 ครึ่งปีแรก ปี 2567 ไว้ดังนี้
รายได้ (Sales Revenues)
กลุ่มบริษัทบ้านปูในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,441 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 88,425 ล้านบาท) แม้ว่าราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะลดลง โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยลดลง 40% (จาก 170 เหรียญต่อตันในปีที่แล้วเหลือ 100 เหรียญต่อตันปีนี้) และราคาก๊าซธรรมชาติลดลงประมาณ 10% (จาก 2 เหรียญ/หน่วยเหลือ 1.8-1.9 เหรียญ/หน่วย) แต่รายได้ของกลุ่มยังคงไม่ลดลงเนื่องจากการซื้อกิจการโรงไฟฟ้า Temple II ช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้สามารถรวมรายได้ของโรงไฟฟ้านี้เข้ามาเต็มปี
EBITDA
กลุ่มบริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 650 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 23,000 ล้านบาท) ตัวเลขนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566 ปัจจัยหลักที่ทำให้ EBITDA ลดลงคือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Price) เช่น ราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม EBITDA ของบริษัท ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจต่าง ๆ ได้แก่ ธุรกิจถ่านหิน คิดเป็น 60% ของกระแสเงินสด และธุรกิจก๊าซและไฟฟ้า คิดเป็น 40% ของกระแสเงินสด
NPAT
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 69 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 70 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการลดลงนี้เกิดขึ้นเพราะในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายการพิเศษเข้ามาเป็นรายการ One Time ซึ่งเกิดจากการเพิ่มการลงทุนในบริษัท Durapower ที่เปลี่ยนสถานะจากบริษัทร่วมมาเป็นบริษัทลูก ส่งผลให้มีการตีมูลค่าใหม่ตาม Fair Value และได้กำไรจากการตีมูลค่าใหม่ประมาณ 70 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เมื่อพิจารณาโดยการหักรายการพิเศษของปี 2566 ออกไป จะพบว่าจริง ๆ แล้วผลประกอบการใน 6 เดือนแรกของปี 2567 ถือว่าดีกว่า 6 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นการยืนยันถึงประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่มั่นคงของกลุ่มบริษัทบ้านปู
แผนในครึ่งปีหลังและในอนาคตของธุรกิจบ้านปู
สมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนต่อไปของบ้านปู ตั้งเป้าที่จะรวมธุรกิจทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นโซลูชันเดียวในอนาคต เพื่อช่วยลูกค้าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยใช้พลังงานสะอาดและนวัตกรรมเทคโนโลยีในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ดังนี้
1) ธุรกิจ Solar: Rooftop & Floating
- ไทย: กำลังการผลิตโซลาร์รูฟท็อปและโซลาร์ลอยน้ำรวม 100 เมกะวัตต์ โดยเตรียมประกาศโครงการใหญ่ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
- เวียดนาม: โครงการกำลังผลิต 62 เมกะวัตต์ ผ่านพันธมิตร Solar ESCO ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเวียดนามมีความขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า
- จีน: กำลังการผลิต 66 เมกะวัตต์
- อินโดนีเซีย: มีธุรกิจรายย่อย ชื่อ “IBP” ที่เติบโตเร็ว โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญาเพิ่มอีก 8 เมกะวัตต์
2) ธุรกิจ Battery & ESS Solutions
บ้านปูมีโรงงานในเมืองไทยที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ 2 โรงงาน ได้แก่
- SVOLT Thailand: บ้านปูถือหุ้น 40% โดยโรงงานนี้เริ่มผลิตแบตเตอรี่ในปีนี้ โดยครึ่งปีแรกผลิตไป 2,269 แบตเตอรี่ ส่วนใหญ่สำหรับรถยนต์ ORA และ GWM รวมถึงเซ็นสัญญากับ NETA และกำลังเจรจากับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นในเมืองไทย
- DP NEXT: บ้านปูถือหุ้น 67% ผลิตแบตเตอรีลิเธียมไอออนที่ใช้ในรถยนต์พลังงานสูง
นอกจากนี้ บ้านปูยังพัฒนาแบตเตอรีฟาร์มที่เก็บพลังงานและนำมาขายในเวลาที่ได้กำไร โดยสถานที่แรกอยู่ที่ จังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น มีกำลังผลิต 58 เมกะวัตต์ ซึ่งเสร็จไปแล้ว 97% คาดว่าจะเสร็จในไตรมาสที่ 2
3) ธุรกิจ Energy Management
- District Cooling System (DCS) : พัฒนาระบบ Chiller ขนาดใหญ่ ที่สามารถกระจายความเย็นให้หลายตึก ซึ่งมีการใช้งานที่ โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส ในสิงคโปร์ โดยระบบนี้ช่วยกระจายความเย็นไปยัง 23 ตึก จาก Chiller หนึ่งแห่ง ซึ่งช่วย ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 35-40% เมื่อเทียบกับการติดตั้ง Chiller แยกสำหรับแต่ละตึก นอกจากนี้ บ้านปูร่วมมือกับสิงคโปร์พาวเวอร์ ในการสร้างระบบ District Cooling ให้กับศูนย์ราชการโซน C ในประเทศไทย ซึ่งเสร็จไปแล้ว 92% และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
- Banpu Next Ecoserve: เป็นระบบที่ช่วยกระจายความเย็นภายในตึก และปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า สามารถลดค่าใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 20-30% ซึ่งในช่วง 2 ไตรมาสแรก บ้านปูได้ทำสัญญา 25 สัญญา โดยผลิตความเย็นได้ 22,600 ตัน
- Compressed Air: ดำเนินธุรกิจ Compressed Air ช่วยลูกค้าผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 2,800 กิโลวัตต์
4) ธุรกิจ E-Mobility
บ้านปูถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ประมาณ 45% โดยในปัจจุบันมีรถวิ่งในกรุงเทพประมาณ 100 คัน และจะเพิ่มอีก 103 คันในอนาคต นอกจากนี้ ยังลงทุนใน Data Center สำหรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของโลก และกำลังพัฒนาแนวทางให้ Data Center ใช้พลังงานน้อยลงในอนาคตอีกด้วย
จะเห็นว่า บ้านปูได้ปรับกลยุทธ์ของธุรกิจให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมพลังงานโลก ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี การลดคาร์บอน และการขยายธุรกิจไปยังพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม พร้อมตั้งเป้าที่จะรวมธุรกิจทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นโซลูชันเดียวในอนาคต ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของบริษัทในการสร้างความยั่งยืนที่ไม่เพียงแต่รักษาธุรกิจดั้งเดิมอย่างถ่านหินและก๊าซธรรมชาติให้อยู่ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเสริมสร้างการเติบโตในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้สามารถแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCB ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน เพื่ออนาคต Net Zero