Share on
×

Share

PFS ยกระดับเทคโนโลยี มุ่งสู่ความยั่งยืนทางอาหาร ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ

อุตสาหกรรมอาหารคือหนึ่งในอุตสาหกรรมเสาหลักเศรษฐกิจของประเทศไทย และบริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด หรือ PFS คือหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศปีละหลายพันล้านบาท

PFS หรือ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด เป็นผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแห้งขั้นสูง ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร บริษัทได้พัฒนาและปรับปรุงนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของอาหารให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก

ครบรอบ 30 ปี บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด (PFS) ในฐานะผู้ผลิตอาหารแห้งชั้นนำของไทย ประกาศทิศทางการเติบโตสู่อนาคตด้วยการมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ที่สะท้อนความมุ่งมั่นด้านคุณภาพและความยั่งยืน ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย 7,000 ล้านบาทภายในปี 2030 ด้วยกลยุทธ์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารรองรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่และขยายฐานตลาดในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศมากขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Health & Well-being

30 ปีแห่งการเติบโต

PFS เริ่มต้นธุรกิจที่กลุ่มสินค้าซีฟู้ด ตั้งโรงงานที่มหาชัย เพราะอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ PFS เป็นโรงงานแรก ๆ ในพื้นที่นั้นเริ่มต้นด้วยกลุ่มสินค้า Freeze Dry เริ่มลงทุนด้วยเงินลงทุนสูงในเทคโนโลยี Freeze Dry การลงทุนสูงทำให้ PFS สามารถอยู่ยืนหยัดในตลาดมาได้ถึงวันนี้ เพราะคู่แข่งในตลาดน้อย 

จากวันแรกที่มีพนักงาน 18 คน สร้างยอดขาย 17 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตปีละ 100% ทุกปีตลอดช่วง 3-4 แรก จนสามารถสร้างยอดขายแตะระดับ 100 ล้านบาทได้ในปี 1998 ซึ่งเป็นการเติบโตท่ามกลางความย่ำแย่ของเศรษฐกิจโลก เคล็ดลับของความสำเร็จคือ การกล้าที่จะลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า และให้ความสำคัญในเรื่องการวิจัยและพัฒนา 

ปี 1999 เริ่มขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ณ ตอนนั้น คือ กลุ่มสินค้า Spray Dry เริ่มต้นด้วยการซื้อกิจการของผู้เล่นรายเล็กนำมาพัฒนาต่อยอด แม้ว่าจะไม่เคยทำธุรกิจ Spray Dry มาก่อน แต่ด้วยวิสัยทัศน์ในสินค้าและความมุ่งมั่นในการใช้นวัตกรรมมั่นใจว่าจะเติบโตได้ 

วรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด ได้กล่าวย้ำว่า ความสำเร็จของ PFS ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่เป็นผลจากการสนับสนุนของพันธมิตรและซัพพลายเออร์ที่ร่วมมือกันเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมอาหารไทยให้เติบโต

PFS ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ่านการลงทุนในเครื่องจักรและการวิจัย (R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยได้ขยายห้องทดลองเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ทันสมัยเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นผ่านมาตรฐานคุณภาพระดับสากล

“ตลอด 3 ทศวรรษของ PFS คือความมุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมเทคโนโลยีการถนอมอาหารอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นการพัฒนาคุณภาพการถนอมอาหารและมาตรฐานการผลิตเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรและผู้บริโภค เชื่อว่าคุณภาพคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ PFS เป็นผู้นำในการผลิตอาหารแบบครบวงจรมาถึงวันนี้”

เปลี่ยนโลโก้ครั้งแรกในรอบ 30 ปี 

ในปีนี้ PFS ได้มีการปรับภาพลักษณ์องค์กรผ่านการเปลี่ยนแปลงโลโก้ใหม่ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจนนอนาคต เพื่อสะท้อนถึงทิศทางการเติบโตของบริษัทในอนาคต โลโก้ใหม่นี้ไม่เพียงแค่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในอดีต แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่มุ่งมั่นนำเสนออย่างใส่ใจ ของการพัฒนาและเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

จุดเริ่มต้นในการพัฒนาสัญลักษณ์ PFS ใหม่เพื่อขับเคลื่อนสู่ทศวรรษหน้า มาจากวิสัยทัศน์ขององค์กรที่มุ่งมั่นในการถนอมบำรุงผู้คนให้มีสุขภาพเป็นหนึ่ง ใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนทั่วโลก จุดนี้สะท้อนบทบาทสำคัญของแบรนด์ในการเป็น “ผู้ให้การดูแลด้วยหัวใจ” (Care Giver)  ซึ่งเป็นจุดยืนที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของ PFS 

“ในทุกการพัฒนาสร้างสรรค์กระบวนการถนอมรักษาอาหาร PFS ใช้ “หัวใจ” นำทาง โดยมีเป้าหมายในการสร้างสุขภาพแก่มวลมนุษย์มาตลอด 30 ปี”

The Next Chapter: PFS ขยายตลาดผู้บริโภค ตั้งเป้าแตะ 7 พันล้านบาท

ยอดขายของบริษัทฯ มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดมาตลอดสามทศวรรษ โดยใน 10 ปีแรก ปี 2003 ยอดปิดที่ 397 ล้านบาท ปี 2010 ยอดขายแตะ 1,332 ล้านบาท ในปีที่ 20 ปี 2013 ยอดขายเพิ่มกว่า 2,272 ล้านบาท และรอบปีที่ผ่านมา 2024 ปิดยอดที่ 4,604 ล้านบาท

แผนการขยายธุรกิจ PFS มีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายและขยายผลิตภัณฑ์สู่ B2C โดยเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น โยเกิร์ตฟรีซดราย ฟรุตที และผลิตภัณฑ์จากน้ำมันรำข้าว ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในสายการผลิตข้าวหอมมะลิออร์แกนิก เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ

ภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของ PFS ในอนาคต โดยเน้นว่าการขยายธุรกิจในทศวรรษที่ 4 ตั้งเป้าการยอดขายเติบโต 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Health & Well-being เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ

ประเดิมด้วยการออกสินค้าใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dry 3 สูตร ประกอบด้วย สูตร Vitamin C, Vitamin E, Fiber กลุ่มที่สอง Dreamy Fruit Tea with Stevia 5 รสชาติ ประกอบด้วย Apple, Yuzu, Peach, Mixed Berries, Honey Lemon และกลุ่มสุดท้าย Dreamy Natural Oat Milk Creamer เป็นครีมเมอร์จากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนนมโอ๊ต

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ PFS เติบโตได้อย่างมั่นคงคือความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ และลูกค้า เพื่อให้แน่ใจว่าทุกกระบวนการผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสู่ตลาดโลก

“ความสำเร็จของ PFS ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานขององค์กรเพียงลำพัง แต่เป็นผลลัพธ์จากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งพนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้า ซึ่งร่วมกันขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคง ในโอกาสครบรอบ 30 ปีนี้ PFS มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พร้อมรักษามาตรฐานระดับโลก เพื่อให้สามารถเติบโตและแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” ภาณุ กล่าว

ความมั่นคงทางอาหาร 

ภาวะโลกร้อนสร้างผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของอาหารอย่างต่อเนื่อง ผู้คนเริ่มรู้สึกได้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของอาหารกำลังเสื่อมสภาพ และเริ่มเข้าสู่สภาวะขาดแคลน คนทั้งโลกเร่ิมมองหาอาหารยุคใหม่ที่ดูแลสุขภาพของคนและสุขภาพของโลกไปพร้อมกัน 

เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ กล่าวว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้ราคาวัตถุดิบบางชนิดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโกโก้ ซึ่งราคาพุ่งขึ้นเนื่องจากแหล่งผลิตหลักในแอฟริกาประสบปัญหาผลผลิตลดลง แม้ว่าประเทศไทยจะเริ่มมีการปลูกโกโก้เพิ่มขึ้นและคุณภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากเป็นพืชยืนต้น การขยายผลผลิตต้องใช้เวลา ผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน มะม่วง ส้มโอ มังคุด และลำไย ก็ได้รับผลกระทบจากอากาศที่แปรปรวน โรคพืชทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ควรมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจอาหาร การเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกรณีของช็อกโกแลต ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาอยู่ แม้จะพยายามใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมากที่สุด แต่ราคาช็อกโกแลตนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องหยุดการผลิตชั่วคราว การเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ต้องมีการสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพและราคาที่แข่งขันได้

เทคโนโลยีการถนอมอาหารเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการลดของเสียและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค เทคโนโลยีอย่าง Freeze Dry ช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและยืดอายุของวัตถุดิบ ทำให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารได้หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ การสนับสนุนให้ผู้บริโภคเลือกใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นและเลือกอาหารตามฤดูกาล จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ

วิกฤตการณ์โลกร้อน เอลนินโญ่ ลานินญ่า ที่ทำให้แหล่งอาหารลดลง ขณะที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมอาหาร ต้องปรับตัวเพื่อพัฒนาแหล่งอาหารแห่งอนาคต (Future Food)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิษุวัต สงนวล หัวหน้าภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง เทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหารมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว AI เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาท ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์แนวโน้มผู้บริโภค ไปจนถึงการบริหารจัดการวัตถุดิบและกระบวนการผลิต แม้ว่า AI จะถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ไกลตัวในอุตสาหกรรมอาหาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว สามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่ระดับการเกษตร ไปจนถึงการผลิตและการตลาด

เทคโนโลยี Freeze Dry เป็นหนึ่งในกระบวนการถนอมอาหารที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถคงคุณค่าทางโภชนาการ กลิ่น สี และเนื้อสัมผัสของวัตถุดิบไว้ได้มากที่สุด ต่างจากกระบวนการถนอมอาหารแบบอื่นที่ต้องใช้ความร้อนสูง Freeze Dry สามารถทำให้วัตถุดิบแห้งที่อุณหภูมิต่ำ ช่วยให้สารอาหารยังคงอยู่ และลดปริมาณของเสียจากอาหารได้มากขึ้น เทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้การขนส่งอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และทำให้สามารถจัดเก็บอาหารได้นานขึ้นโดยไม่ต้องใช้สารกันเสีย

ในอนาคต อุตสาหกรรมอาหารจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของโปรตีนทางเลือก เช่น Plant-Based Protein และการพัฒนาวัตถุดิบใหม่ ๆ ผ่านเทคโนโลยีชีวภาพ AI จะมีบทบาทมากขึ้นในการวิเคราะห์และปรับแต่งอาหารให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล แนวโน้มของ Personalized Nutrition หรืออาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละคน จะเป็นเทรนด์สำคัญที่ผู้ผลิตอาหารต้องให้ความสนใจ

ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีอาหารให้ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ยังต้องการการสนับสนุนด้านงานวิจัยและการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตรและการแปรรูปอาหาร ไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรของไทย แต่ยังทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ การนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตร การคัดเลือกวัตถุดิบ และการผลิตอาหาร จะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดของเสียในอุตสาหกรรมอาหาร

อย่างไรก็ตาม ระยะยาว อุตสาหกรรมอาหารต้องพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ลดของเสียจากอาหาร แต่รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว AI และเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารของไทยก้าวไปสู่ระดับสากล

ตลอด 30 ปีของ PFS คือความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนอาหารด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการถนอมอาหารอย่างต่อเนื่อง PFS ทุ่มเทกับนวัตกรรมทั้งเครื่องจักรและโรงงานผลิต รวมถึงห้องปฏิบัติการ (R&D) ให้คิดค้นนวัตกรรมตลอดเวลา 

ก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 PFS ยังมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ขยายตลาดสู่ B2C และลงทุนในผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับพันธมิตรและการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืนตามพันธกิจสำคัญของ PFS นั่นคือการเก็บความสมบูรณ์ของอาหารจากธรรมชาติให้ทุกคนบนโลกด้วยเทคโนโลยีแห่งการถนอมอาหาร

×

Share

ผู้เขียน