ในยุคที่ความสะดวกสบายกลายเป็นหัวใจของการใช้ชีวิต แกร็บ ประเทศไทย พร้อมก้าวไปอีกขั้นภายใต้การนำของ จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ ที่ประกาศวิสัยทัศน์สุดท้าทายสำหรับปี 2568 ยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น ด้วยบริการที่ครอบคลุมทุกเจเนอเรชัน ตั้งแต่เด็กน้อยวัย Gen Alpha ไปจนถึงผู้สูงวัย Baby Boomer ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัว สิทธิพิเศษสุดคุ้มสำหรับลูกค้าคนสำคัญ หรือตัวเลือกที่เข้าถึงง่ายสำหรับผู้รักความประหยัด
จันต์สุดาประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ “Lead with Purpose” ที่ไม่เพียงตอกย้ำตำแหน่งผู้นำซูเปอร์แอปแห่งภูมิภาค แต่ยังมุ่งยกระดับการเดินทางและเดลิเวอรีให้ครอบคลุมทุกความต้องการ พร้อมสานต่อพันธกิจ GrabForGood ใช้เทคโนโลยีสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนไทย
“ที่แกร็บ เราทำงานกันหนักมาก แต่เราสนุก เพราะเรามี Purpose (เป้าหมาย) ที่ชัดเจน และเมื่อเรามีเป้าหมาย เราจะมีแรงสู้ต่อไปได้” จันต์สุดา กล่าวทักทายในการแถลงข่าวครั้งแรก
จันต์สุดาเริ่มงานกับแกร็บในปี 2561 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของแกร็บ ประเทศไทย โดยเป็นผู้ดูแลงานด้านการตลาดและการสื่อสารแบรนด์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ปลุกปั้นแบรนด์ GrabFood จนกลายเป็นที่นิยมในประเทศไทย เธอจะเข้ารับตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายนต่อจากวรฉัตร ลักขณาโรจน์
แกร็บเพื่อคนทุกวัย
สำหรับกลยุทธ์สำคัญในปีนี้ แกร็บเล็งเห็นโอกาสในการขยายบริการให้ครอบคลุมทุกเจเนอเรชัน โดยจะขยายกลุ่มเป้าหมายหลักเดิมอย่าง Gen Y (อายุ 29-44 ปี) และ X (อายุ 45-60 ปี) ไปสู่กลุ่ม Gen Z (อายุ 16-28 ปี) Baby Boomer (อายุ 60-79 ปี) และ Gen Alpha (อายุ 1-15 ปี)
จันต์สุดา ให้ข้อมูลว่า ประชากรของกลุ่ม Gen Y มีราว ๆ 23% Gen Z มีประมาณ 16-18% ส่วน Baby Boomer มีประมาณ 10%
“เรามองเห็นศักยภาพในกลุ่ม Baby Boomer ที่มีกำลังซื้อ แต่ยังไม่คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีบนมือถือ ในขณะที่ Gen Alpha แม้จะยังเด็ก แต่ส่วนใหญ่ก็มีอุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวแล้ว” จันต์สุดากล่าวถึงเหตุผลในการขยายกลุ่มเป้าหมาย

แกร็บจึงนำเสนอฟีเจอร์ “บัญชีครอบครัว” (Family Account) เพื่อเชื่อมต่อบริการไปยังกลุ่ม Baby Boomer และ Gen Alpha ผ่านผู้ใช้บริการหลัก (Core User) ที่ต้องการเรียกรถให้กับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการเรียกรถให้พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือบุตรหลาน โดยผู้ใช้งานหลักจะสามารถติดตามสถานะการเดินทางและมั่นใจในความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัวได้
นอกจากนี้ แกร็บยังได้เปิดตัว 4 หนุ่มฮอต เจมีไนน์-โฟร์ท และ สกาย-นานิ ในฐานะ “Friends of Grab” เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z และ Millennials เสริมทัพ เบลล่า-ราณี แบรนด์แอมบาสเดอร์ซึ่งตอบโจทย์กลุ่ม Gen Y ได้เป็นอย่างดี ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค
Grab VIP: สิทธิพิเศษเพื่อคนพิเศษ
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในระดับบน แกร็บยังได้พัฒนาฟีเจอร์ Grab VIP หรือโปรแกรมสิทธิพิเศษเหนือระดับสำหรับผู้ใช้บริการที่มียอดใช้จ่ายสูงกว่า 30,000 บาทในระยะเวลา 3 เดือน อาทิ รับสิทธิ์ส่งอาหารไว (Priority Delivery) 5 ครั้งต่อเดือน และความช่วยเหลือพิเศษก่อนใคร (Priority Support) จากศูนย์ช่วยเหลือแกร็บ
บริการดังกล่าวปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็น Invitation Only หรือต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น
“เราต้องการให้ลูกค้า VIP รู้สึกถึงความพึงพอใจสูงสุด และในอนาคตอาจเพิ่มสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่แท้จริง ดึงดูดให้ลูกค้าอยู่กับเรานานขึ้น” จันต์สุดากล่าว
ปัจจุบันยอดผู้ใช้งาน Grab VIP ของทั้งภูมิภาคยังอยู่ที่ระดับตัวเลขหลักเดียว โดยเป็นระดับยอดบนของปิระมิดจากจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมด
ครองตลาดทุกเซกเมนต์ – คุ้มค่าและคุณภาพ
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความผันผวน แกร็บยังคงมั่นใจในศักยภาพของธุรกิจด้วยกลยุทธ์เจาะลูกค้า 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่มองหาความคุ้มค่าและกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ
สำหรับลูกค้ากลุ่มสายเน้นความคุ้มค่า แกร็บนำเสนอทางเลือกใหม่ของบริการในราคาที่เข้าถึงได้ ราคาถูกกว่า ผ่านการเปิดตัวบริการ GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ที่มียอดใช้บริการเติบโตขึ้นมากกว่า 5 เท่าและ 4 เท่าในปี 2567 ตามลำดับ รวมถึงการเพิ่มตัวเลือก Delivery SAVER ในบริการสั่งอาหาร ซึ่งมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
ส่วนกลุ่มลูกค้าสายคุณภาพ ที่พร้อมจ่ายเพื่อร้านอาหารในดวงใจ ไม่ได้สนใจโปรโมชั่นลดราคา แกร็บก็มีนำเสนอในแพลตฟอร์ม
“เราไม่กังวล เพราะเราครอบคลุมทั้งคนที่มองหาความคุ้มและคนที่เน้นคุณภาพ” จันต์สุดากล่าวย้ำ
รักษ์โลกด้วยรถ EV
แกร็บยังคงจริงจังกับความยั่งยืนผ่านโครงการ Grab EV ที่ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการ เพื่อลดผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีจำนวนรถ EV ในระบบของแกร็บ ประเทศไทย ราว 10,000 คัน
และล่าสุด แกร็บร่วมเป็นพันธมิตรกับ BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนในเรื่องของราคา ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนรถ EV ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น 50,000 คัน ประกอบกับแกร็บ ประเทศไทยมีโครงการ “ผ่อนขับรับรถ” (Drive-to-Own) ที่ช่วยให้คนขับเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้นด้วยการผ่อนเริ่มต้นวันละ 900-1,000 บาท
บริการใหม่ ๆ ในปี 2568

ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี แกร็บยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ อาทิ บริการจองรถล่วงหน้าเพื่อไปรับที่สนามบิน (Advance Booking for Airport Pickups) โดยสามารถระบุไฟลท์และเวลาเดินทางเพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนขับได้ ซึ่งปัจจุบันได้ทดลองให้บริการแล้วที่สนามบินภูเก็ต บริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียม (GrabExecutive) ที่เจาะกลุ่มนักธุรกิจและลูกค้าไฮเอนด์และนักท่องเที่ยว บริการจองร้านอาหาร (Book Table) และการพัฒนา QR Payment เพื่อเพิ่มทางเลือกการชำระเงินให้กับผู้ใช้บริการ ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาให้กับคนขับที่อาจมีเงินสดสำรองไม่เพียงพอ
ตลาดฟู้ด เดลิเวอรีไทย 1.4 แสนล้านบาท
ข้อมูลจาก Momentum Work ระบุว่า มูลค่าตลาดธุรกิจส่งอาหารของประเทศไทยในปี 2567 อยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 12% ซึ่งแกร็บครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 46%
สำหรับภาพรวมธุรกิจของแกร็บในประเทศไทย ประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจการเดินทาง (Mobility), ธุรกิจเดลิเวอรี (Deliveries), ธุรกิจการเงิน (Financial Services) และธุรกิจลูกค้าองค์กร (Enterprise Solutions)
ปี 2567 โตแรง – ปี 2568 พร้อมพุ่งต่อ
จันต์สุดา กล่าวถึงผลประกอบการในปี 2567 ว่า กลุ่มธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรีมีการเติบโตสูงที่สุดในบรรดากลุ่มธุรกิจหลักของแกร็บ จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีและมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เช่น Dine Out Deals หรือการขายดีลพิเศษสำหรับการรับประทานที่ร้าน เติบโต 11 เท่า Group Order หรือบริการสั่งอาหารแบบกลุ่ม เติบโตเพิ่ม 2 เท่า และ Advance Booking หรือบริการจองล่วงหน้า มียอดใช้พุ่งขึ้น 60% ในช่วงเทศกาล
สำหรับปี 2568 แกร็บคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเติบโตของการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อธุรกิจเรียกรถของแกร็บ
“ตลอดระยะเวลาเกือบ 12 ปีที่ผ่านมา แกร็บรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย และมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสะท้อนผ่านผลการศึกษาของ TDRI ที่ระบุว่ากิจกรรมทางธุรกิจของแกร็บในปี 2566 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของ GDP” จันต์สุดา กล่าวทิ้งท้าย พร้อมเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างมีเป้าหมาย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทยต่อไป
ปัจจุบัน แกร็บให้บริการในกว่า 500 เมือง ใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
PFS ยกระดับเทคโนโลยี มุ่งสู่ความยั่งยืนทางอาหาร ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ
จาก ‘ลมนิ่ง’ ถึง ‘นิวเคลียร์’ : ราช กรุ๊ป เดินหน้าพลังงานสะอาด สู่เป้า Net Zero
ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องยั่งยืน: ผู้บริโภคยุคใหม่มองหาอะไรในการดูแลผิว?