Share on
×

Share

Nutanix ประกาศไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์ เปิดตัวโซลูชัน AI และมัลติคลาวด์ใหม่ในงาน .NEXT กรุงเทพฯ

บริษัท Nutanix (นูทานิคซ์) ผู้นำด้านแพลตฟอร์มคลาวด์คอมพิวติ้ง ตอกย้ำความสำคัญของตลาดประเทศไทยในฐานะ “ตัวขับเคลื่อนการเติบโต” (Growth Driver) แห่งอนาคต ภายในงานประชุมประจำปี .NEXT Conference ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมเปิดตัวโซลูชันและขยายความร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านเทคโนโลยีขององค์กรในยุค AI และมัลติคลาวด์

เฟสซ์ ชาร์การ์ รองประธานและกรรมการผู้จัดการ – อินเดียและอาเซียน, นูทานิคซ์ กล่าวในงานว่า การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานนอกสหรัฐฯ เป็นแห่งแรก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาด และการยอมรับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขององค์กรไทย

ทิศทางกลยุทธ์: แพลตฟอร์มเดียวเพื่อความยืดหยุ่นสูงสุด

เฟสซ์ ได้ย้ำถึงปรัชญาการก่อตั้งของ Nutanix นั่นคือการมอบ “อิสรภาพในการเลือก” ให้แก่ลูกค้าในทุกมิติอย่างแท้จริงบนแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เดียว วิสัยทัศน์นี้ประกอบด้วยอิสระ ประการแรกคือการเลือกปลายทาง (Destination Choice) ซึ่งลูกค้าสามารถรันเวิร์กโหลดได้ทั้งบน Private Cloud ของตนเอง บน Public Cloud หรือในรูปแบบ Hybrid Cloud ที่ผสมผสานกัน

ประการที่สองคือการเลือกแพลตฟอร์ม (Platform Choice) ที่รองรับทั้งสถาปัตยกรรมแบบ Virtualization ดั้งเดิม และ Containerization สำหรับแอปพลิเคชันยุคใหม่ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ (Hardware Choice) จากผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ชั้นนำได้ทุกค่าย และท้ายที่สุดคืออิสระในการเลือกแอปพลิเคชัน (Application Choice) ซึ่งรองรับได้ทุกรูปแบบ จุดเด่นที่สุดของวิสัยทัศน์นี้คือแนวคิด “Build Once, Run Anywhere” ภายใต้โครงการ Project Beacon ซึ่งลูกค้าสามารถสร้างแอปพลิเคชันเพียงครั้งเดียว แล้วนำไปรันที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องแก้ไขหรือ Refactor ใหม่

ความปลอดภัย: หัวใจสำคัญของแพลตฟอร์ม

ผลสำรวจ Enterprise Cloud Index ของ Nutanix พบว่า 95% ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกมองว่าความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวคือปัจจัยสำคัญสูงสุด ด้วยเหตุนี้ Nutanix จึงได้ลงทุนอย่างหนักในการสร้าง Security Stack ของตัวเอง ซึ่งฝังอยู่ในแพลตฟอร์มหลัก เช่น เทคโนโลยี Microsegmentation เพื่อควบคุมการสื่อสารภายใน Data Center และช่วยป้องกันการแพร่กระจายของแรนซัมแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในด้านนวัตกรรม Nutanix ได้นำเสนอ “GPT-in-a-Box” ซึ่งเป็นโซลูชัน Private AI แบบครบวงจรที่ทำงานร่วมกับ NVIDIA และ Hugging Face เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ขององค์กรที่ต้องการใช้ Generative AI นั่นคือค่าใช้จ่ายที่คาดเดาไม่ได้

สุรักษ์ ธรรมรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรระบบ นูทานิคซ์ ประเทศไทย อธิบายว่า การใช้งาน AI บน Public Cloud มักถูกคิดค่าบริการตามจำนวน Token ซึ่งสำหรับภาษาไทยอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าภาษาอังกฤษถึง 3 เท่า การสร้าง Private AI บนแพลตฟอร์มของ Nutanix จึงทำให้องค์กรสามารถใช้งาน AI ได้อย่างเต็มที่ไม่จำกัด Token โดยควบคุมค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังถูกพัฒนาให้รองรับ Agentic AI ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานซับซ้อนได้ด้วยตนเองในอนาคต

“สุรักษ์ ธรรมรักษ์” นูทานิคซ์ จากช่างเทคนิค สู่ Pre-Sales มือโปร

พร้อมกันนี้ Nutanix ได้เปิดกว้างสู่การเป็น Hybrid Multicloud ที่แท้จริง โดยได้ประกาศรองรับ Google Cloud Platform ในปี 2025 อย่างเป็นทางการ ทำให้แพลตฟอร์มสามารถบริหารจัดการทรัพยากรบน AWS, Microsoft Azure และ Google Cloud ได้ครบทั้งสามค่ายผ่านหน้าจอเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะเดียวกันยังตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ด้วยการรองรับ External Storage ชั้นนำ ทั้ง Dell PowerFlex และ Pure Storage อีกทั้งยังได้จับมือกับ Cisco และ Pure Storage สร้างโซลูชันสำเร็จรูปในชื่อ “Flat Stack” ซึ่งผ่านการทดสอบและรับรองมาอย่างสมบูรณ์ ช่วยลดความซับซ้อนและเร่งระยะเวลาในการติดตั้ง สำหรับแอปพลิเคชันยุคใหม่ Nutanix Kubernetes Platform (NKP) ก็ถูกออกแบบใหม่ให้แยกตัวเป็นอิสระ สามารถนำไปติดตั้งและใช้งานได้บนทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น VMware เดิม, Bare Metal Server หรือบน Public Cloud ใด ๆ ก็ตาม

ประกาศสำคัญ: AI, มัลติคลาวด์ และการเปิดกว้างแพลตฟอร์ม

ภายในงานมีการประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่หลายรายการ ซึ่งมุ่งแก้ปัญหาที่องค์กรกำลังเผชิญ โดยจากข้อมูลของบริษัทพบว่า 60% ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกมีกลยุทธ์ด้าน Generative AI แล้ว และ 95% ทั่วโลกกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างมาก

ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI): Nutanix นำเสนอโซลูชัน Private AI เพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงและคาดเดาไม่ได้ของ Public Cloud ซึ่งมักคิดค่าบริการตามจำนวน Token และอาจมีราคาสูงขึ้นสำหรับภาษาไทย โดยได้เปิดตัว Nutanix Enterprise AI (NAI) เวอร์ชันล่าสุดที่ถูกพัฒนาให้รองรับ Agentic AI และมีการผสานรวมอย่างลึกซึ้งกับ NVIDIA Enterprise AI ซึ่งรวมถึง NVIDIA NIM™ และเฟรมเวิร์ก NVIDIA NeMo™ เพื่อช่วยให้การสร้าง การเรียกใช้ และการจัดการโมเดลและบริการด้านการอนุมานต่าง ๆ ทำได้ง่ายขึ้นบนทุกสภาพแวดล้อม

ด้านมัลติคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน: เปิดตัว Nutanix Cloud Clusters (NC2) บน Google Cloud ในรูปแบบ public preview ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายนเป็นต้นไป และจะทำงานบน Google Cloud Z3 bare-metal instances การเปิดตัวนี้ทำให้แพลตฟอร์มของ Nutanix สามารถทำงานร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ได้ครบทั้ง AWS, Microsoft Azure และ Google Cloud นอกจากนี้ยังมีการประกาศ NC2 regions ใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

ด้านความยืดหยุ่นของสตอเรจ: มีการเปิดกว้างแพลตฟอร์มเพื่อรองรับสตอเรจภายนอกอย่างเป็นทางการ โดยโซลูชันที่ทำงานร่วมกับ Dell PowerFlex พร้อมให้บริการแล้ว (General Availability) ส่วนความร่วมมือกับ Pure Storage ในการผสานรวม NCI เข้ากับ FlashArray บน NVMe/TCP และโซลูชันสำเร็จรูป “FlashStack with Nutanix” ที่พัฒนาร่วมกับ Cisco จะพร้อมใช้งานในช่วงปลายปี 2025

ด้าน Cloud Native และ VDI: เปิดตัว Cloud Native AOS ซึ่งเป็นโซลูชันที่ช่วยให้สามารถใช้บริการด้านข้อมูลของ Nutanix บน Kubernetes ได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาไฮเปอร์ไวเซอร์ และยังได้ประกาศความร่วมมือกับ Canonical เพื่อรองรับ Ubuntu Pro บน Nutanix Kubernetes Platform (NKP) พร้อมกันนี้ยังได้ขยายความร่วมมือกับ Omnissa เพื่อผสานรวม Omnissa Horizon เข้ากับ Nutanix AHV และเพิ่มการจัดการ Citrix แบบหลายคลัสเตอร์ผ่าน Prism Central

ด้านความปลอดภัย: เพื่อตอบสนองต่อความกังวลของลูกค้า Nutanix ลงทุนในการสร้าง Security Stack ของตัวเอง ซึ่งฝังอยู่ในแพลตฟอร์มหลัก เช่น เทคโนโลยี Microsegmentation เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของแรนซัมแวร์ และยังได้ประกาศปรับปรุงระบบนิเวศด้านความปลอดภัยให้รองรับ NIST Cybersecurity Framework 2.0 และผสานรวมกับพันธมิตรรายสำคัญจำนวนมาก เช่น Qualys, Palo Alto Networks, Veeam และ CrowdStrike เพื่อมอบการป้องกันเชิงลึกให้กับลูกค้า

มุมมองต่อตลาดไทย: แก้ปัญหาต้นทุนและภาวะขาดแคลนบุคลากร

นพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์
นพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

นพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า Nutanix ดำเนินธุรกิจในไทยมาแล้วกว่า 10 ปี โดยมีลูกค้าหลักในกลุ่มการเงิน (FSI), ภาครัฐ และภาคการผลิต และมองว่าโซลูชันของบริษัทสามารถตอบโจทย์ความท้าทายสำคัญขององค์กรไทยในปัจจุบันได้

“ในภาวะที่องค์กรต้องการทำมากขึ้นด้วยทรัพยากรที่น้อยลง แพลตฟอร์มของเราที่เน้นความง่ายในการบริหารจัดการ (1-Click Simplicity) และความคุ้มค่าในการลงทุนรวม (Lower Total Cost of Ownership) สามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี” นพดลกล่าว “นอกจากนี้ ความง่ายของระบบยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรไอทีทักษะสูง (skills shortages) ซึ่งเป็นความท้าทายใหญ่ของหลายองค์กรในปัจจุบัน”

บริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจในไทยผ่านพาร์ตเนอร์ 100% และทำงานร่วมกับผู้ให้บริการท้องถิ่นเพื่อพัฒนาโซลูชันที่สอดคล้องกับกฎระเบียบในประเทศโดยเฉพาะ การันตีคุณภาพด้วยคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Net Promoter Score) ที่สูงถึง 90+ คะแนน อีกทั้งยังมีซอฟต์แวร์ “Nutanix Move” ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถย้ายระบบจากแพลตฟอร์มอื่นมายัง Nutanix ได้อย่างง่ายดายและราบรื่น

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไทยจัด “Bangkok AI Week 2025” สู่ศูนย์กลาง AI มีธรรมาภิบาลแห่งภูมิภาค

The Story Thailand ประกาศจัดงาน The Story Thailand Forum 2025 สุดยิ่งใหญ่ ‘พลิกโฉมอนาคตร่วมกัน: สู่ความยั่งยืนในยุค AI’

×

Share

ผู้เขียน