ในยุคที่กระแส ESG กำลังมาแรง บริษัททั่วโลกกำลังถูกบังคับให้เปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายในงาน Delta ESG Forum 2025 ชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท PwC ประเทศไทย จะไปเจาะลึกถึงผลลัพท์ของการขาดธรรมาภิบาลที่ดี ไม่เพียงนำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล แต่ยังท้าทายความอยู่รอดขององค์กร พร้อมเสนอแนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ธุรกิจทุกขนาดควรตระหนักและเตรียมพร้อมอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความยั่งยืนในระยะยาว
บทเรียนราคาแพงจากธรรมาภิบาลที่ล้มเหลว
ชยาธร ยกตัวอย่างความล้มเหลวของบริษัทระดับโลก 3 กรณีที่ยืนยันว่า การบริหารองค์กรที่ไร้ธรรมาภิบาลสามารถนำไปสู่หายนะทางการเงินและชื่อเสียงได้อย่างรุนแรง:
- Volkswagen กับการหลอกลวงตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ติดตั้งซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายในรถยนต์ดีเซล เพื่อบิดเบือนผลการตรวจสอบการปล่อยก๊าซ ทำให้มูลค่าบริษัทลดลงถึง 40% และนำไปสู่การลาออกของ CEO
- วิกฤติความปลอดภัย Boeing 737 MAX: ปัญหาด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากการลดมาตรฐานลงมากเกินไป ส่งผลให้เครื่องบินตกถึงสองครั้ง บริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหายมหาศาล และสูญเสียความเชื่อมั่นจากโศกนาฏกรรมที่คร่าหลายชีวิต
- Stark Corporation กับปัญหาการฉ้อโกง: บริษัทมีกการตกแต่งบัญชีตกและนำเสนอข้อมูลทางการเงินที่เป็นเท็จ นำไปสู่การสูญเสียเงินกว่า 14.7 ล้านบาท
เทรนด์ ESG ที่กำลังมา: จาก Climate Change สู่ Biodiversity
แม้กระแสหลักของ ESG ในปัจจุบันจะเน้นที่ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทว่า ชยาธรมองว่า ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยที่พึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพสูง ทั้งทรัพยากรป่าไม้ แหล่งน้ำ และสัตว์ป่า ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
บริหารความเสี่ยงและ ESG: จุดเน้นที่แตกต่างกันระหว่าง SME และบริษัทใหญ่
สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ หรือ บริษัทจดทะเบียน (Listed Company) ชยาธรว่าไม่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องด้วยข้อกำหนดของ กกต. ที่บังคับให้บริษัทเหล่านี้เปิดข้อมูลด้วยมาตรฐาน IFRS มาตรฐานสร้างความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการเปิดเผยตัวเลขความยั่งยืนให้ผู้ลงทุนและเปิดให้บริษัทภายนอก (Third Party) เข้ามาประเมินและตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emissions) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสในข้อมูล ทำให้บริษัทขนาดใหญ่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า และพร้อมที่จะรับมือกับนโยบายใหม่ที่กำลังจะมา
สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ที่กำลังพิจารณาเรื่องการรายงานผลกระทบด้านความยั่งยืน ควรเน้นทำตาม มาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทำให้มาตรฐาน TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) ที่ต้องคำนวณผลกระทบต่อธรรมชาติในระดับละเอียดซับซ้อน อาจยังไม่เหมาะกับ SME ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เริ่มพบมากขึ้นคือ บริษัทจดทะเบียนที่ต้องการจัดทำ Scope 3 เริ่มมีการขอข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจาก SME ที่เป็นซัพพลายเชน ในกรณีนี้ SME ควรมองหาแนวทางในการ ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions Assessment) ไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก แต่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่มีนัยสำคัญต่อความร่วมมือทางธุรกิจในอนาคต
เข้าใจองค์กรอย่างรอบด้าน ผ่าน Double Materiality Analysis
การทำ Impact Materiality Analysis ซึ่งเป็นกระบวนการระบุผลกระทบด้านความยั่งยืนที่บริษัทสร้างและส่งผลต่อสภาพแวดล้อมภายนอก อาจไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ชยาธรเสนอให้องค์กรขนาดใหญ่ต้องทำ Financial Materiality Analysis ควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นการระบุผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ การเข้าใจองค์กรทั้งในรูปแบบ Inside-out (ผลกระทบจากภายในสู่ภายนอก) และ Outside-in (ผลกระทบจากภายนอกสู่ภายใน) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้
ก้าวแรกสู่การเริ่มต้น: ข้อมูลที่ถูกต้องและการโฟกัสที่สำคัญที่สุด
สำหรับบริษัทที่ต้องการจะเริ่มต้น ข้อมูลคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทได้อย่างแท้จริง และสำหรับ SME แม้จะรู้สึกว่ามิติด้าน ESG จะมีสิ่งที่ต้องทำมากมายจนรู้สึกสับสน แต่ชยาธรแนะนำว่า SME ควรเริ่มจากการมองจุดยืนของบริษัทตัวเอง จากนั้นหาด้านของ ESG ที่ส่งผลกระทบกับบริษัทมากที่สุด หรือหากแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วจะส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดกับบริษัทเป็นอันดับแรก แล้วจึงจะเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เคทีซี ครึ่งปีแรกกำไร 3,755 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดโตทุกผลิตภัณฑ์
โลกการเงินสีเขียว ความยั่งยืนผ่านมุมมอง 2 ยักษ์ใหญ่ SCBX และ KBank
สหฟาร์ม ลุยติดตั้งโซลาร์เซลล์ พร้อมทดสอบระบบ EV ช่วยประหยัดค่าไฟกว่า 100 ล้านบาทต่อปี