Share on
×

Share

KATALYST และ FlowAccount จุดพลุ SaaS Tech Conference ครั้งแรกในไทย สร้างพิมพ์เขียวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของวงการเทคโนโลยีไทย เมื่อ KATALYST โดย บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon VC) และ FlowAccount ผู้นำด้านซอฟต์แวร์บัญชีออนไลน์ ได้ร่วมกันจัดงาน SaaS Connect Thailand 2025 ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นหมุดหมายในการสร้างชุมชน (Community) และระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพที่พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการบริการ หรือ Software as a Service (SaaS)

โดยงานนี้ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน (VC) หน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการ SaaS รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ มาแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์ เพื่อให้สตาร์ตอัพไทยสามารถเติบโต (Scale) และอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในสมรภูมิธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

กฎกติกาใหม่ในยุคที่ VC เข้มงวดขึ้น

โลกของสตาร์ตอัพ SaaS ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ยุคแห่งการเติบโตแบบทุ่มสุดตัว “Growth at all cost” ได้สิ้นสุดลงแล้ว วรพจน์ กิ่งแก้วก้านทอง Partner-Investment จาก บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon VC) ชี้ให้เห็นว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนได้เปลี่ยนพฤติกรรมของทั้งลูกค้าและนักลงทุน ลูกค้าองค์กรมีความละเอียดอ่อนต่อความคุ้มค่าและต้องการผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ส่งผลให้วงจรการขายยาวนานขึ้น

ในขณะเดียวกัน โลกของนักลงทุน (VC) ก็เข้าสู่ “ฤดูหนาว” ที่กระบวนการอนุมัติการลงทุนเข้มงวดและยาวนานขึ้น เกณฑ์การพิจารณาเปลี่ยนจากการมองไปข้างหน้า (Forward-looking) มาเป็นการดูผลประกอบการย้อนหลัง 12 เดือน (Trailing 12-month P&L) และสัญญาที่เซ็นแล้วเท่านั้น ตัวคูณมูลค่า (Valuation Multiples) ของบริษัท SaaS ได้ลดลงจากช่วงพีคที่ 19 เท่า เหลือเพียงประมาณ 6 เท่าในปัจจุบัน

ดังนั้น สตาร์ตอัพที่ต้องการระดมทุนในยุคนี้ต้องเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นการเติบโตที่ฉาบฉวย มาสู่ “การเติบโตที่ยั่งยืน” (Sustainable Growth) โดยมีตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนมองหา อาทิ

  • Rule of 40: อัตราการเติบโต (%) บวกกับอัตรากำไร (%) ต้องมากกว่า 40 ซึ่งตัวเลขนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับมูลค่าที่นักลงทุนจะมอบให้
  • LTV to CAC Ratio: อัตราส่วนมูลค่าตลอดชีพของลูกค้าต่อต้นทุนการหาลูกค้า ควรมีค่ามากกว่า 3 เท่า
  • Net Revenue Retention (NRR): อัตราการเติบโตของรายได้จากลูกค้าเดิมควรเกิน 100% สะท้อนความสามารถในการรักษาและสร้างรายได้เพิ่มจากฐานลูกค้าเก่า
  • Churn Rate: อัตราการเลิกใช้งานของลูกค้าที่ต้องอยู่ในระดับต่ำ

ถอดบทเรียนจากรุ่นพี่: หลากกลยุทธ์สู่ความสำเร็จฉบับ SaaS ไทย

ไฮไลต์สำคัญของงานคือการรวมตัวของเหล่า “รุ่นพี่” ในวงการ SaaS ที่มาแบ่งปันกลยุทธ์และบทเรียนจากประสบการณ์ตรง เพื่อเป็นเข็มทิศให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่

FlowAccount: เริ่มจาก MVP สู่การเติบโตด้วย Product-Led Growth (PLG) – กฤษฎา ชุตินธร CEO แห่ง FlowAccount เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เกิดจากปัญหา (Pain Point) ของผู้ประกอบการ SME ที่ต้องเสียเวลากับการทำเอกสารบัญชี FlowAccount จึงเริ่มต้นจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นเพียงพอต่อการใช้งาน (Minimum Viable Product – MVP) ที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างการออกใบแจ้งหนี้ และใช้กลยุทธ์ Product-Led Growth (PLG) ที่ให้ผลิตภัณฑ์ “ขายตัวเอง” ผ่านการเปิดให้ทดลองใช้ฟรี (Free Trial) ทำให้ลูกค้าพิสูจน์คุณค่าได้ด้วยตนเอง และสามารถขยายฐานผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเพิ่มทีมขายในสัดส่วนที่เท่ากัน นอกจากนี้ยังต่อยอดสู่ Partner-Led Growth ด้วยการสร้างเครือข่ายกับสำนักงานบัญชีทั่วประเทศ ซึ่งเป็นช่องทางที่ทรงพลังและน่าเชื่อถือ

Wisesight: ปิดดีล Enterprise ด้วยการขายความเชื่อมั่นไม่ใช่ซอฟต์แวร์กล้า ตั้งสุวรรณ CEO แห่ง Wisesight ได้เปลี่ยนเกมการแข่งขันในตลาดลูกค้าองค์กร (Enterprise) ด้วยการตั้งคำถามที่ทรงพลังกับลูกค้ารายใหญ่อย่าง Samsung ว่า “ซอฟต์แวร์ต่างชาติที่คุณใช้ เข้าใจคนไทยดีกว่าเราจริงหรือ?” กลยุทธ์ของ Wisesight คือการเป็น “ผู้ขายความเชื่อมั่น” ผ่าน 3 เสาหลัก:

  • มาตรฐาน (Standard): การลงทุนทำ ISO เพื่อพิสูจน์คุณภาพระดับสากล
  • การปรับแต่ง (Customization): สร้างเครือข่ายพาร์ตเนอร์เพื่อช่วยปรับแต่งโซลูชันและกระจายความเสี่ยงให้ลูกค้า
  • การบริการ (Service & Support): สร้างวัฒนธรรมที่พร้อมแก้ปัญหาให้ลูกค้าตลอดเวลา แม้จะเป็นเวลาตี 2 ก็ตาม

เมื่อธุรกิจเติบโต จึงเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลทีมขายแบบ “Hunter & Farmer” โดยทีม Hunter มีหน้าที่หาลูกค้าใหม่เท่านั้น และทีม Farmer (Customer Experience) จะเข้ามาดูแลต่อเพื่อบริหารประสบการณ์และป้องกันการเลิกใช้งาน

Wongnai POS: สร้าง Ecosystem ด้วยการแก้ปัญหาตลาดให้ถูกจุด เอกลักษณ์ วิริยะโกวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Lifestyle & Solution Services ของ LINE MAN Wongnai เผยเส้นทางการสร้าง Wongnai POS ที่เริ่มต้นจากบทเรียนราคาแพงในโตเกียว หลังได้เห็นโมเดลของ Recruit Group นักลงทุนผู้เป็นอาจารย์ที่มีทั้งแพลตฟอร์มสื่อ (Hot Pepper) และระบบจัดการร้าน (AirREGI) ทำงานคู่กัน จึงเกิดวิสัยทัศน์ที่จะสร้างเครื่องมือที่ร้านอาหารขาดไม่ได้ เปลี่ยนความสัมพันธ์จาก “ผู้ขายโฆษณา” สู่การเป็น “พันธมิตรทางธุรกิจ”

เดิมพันแรกและบทเรียน: เดิมพันแรกคือการทำ White-label ระบบ POS บน iPad ซึ่งงดงามและพรีเมียม แต่กลับเป็นอาวุธที่ผิดสมรภูมิ เพราะมีราคาสูงเกินไปสำหรับร้านอาหารส่วนใหญ่ของประเทศ

กลยุทธ์พลิกเกม: ทีมงานตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการดีลตรงจากจีนเพื่อหาฮาร์ดแวร์ Android ที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ การตีโจทย์ตลาดแตกในครั้งนี้ทำให้ Wongnai POS สามารถเข้าถึงกองทัพร้านอาหารส่วนใหญ่ได้

สงครามภาคพื้นดิน: แต่เทคโนโลยีที่ดีไม่เพียงพอ เพราะการขาย POS คือ ความสัมพันธ์ระยะยาว เมื่อเรียนรู้จากผู้เล่นระดับโลกอย่าง Square จึงตัดสินใจสร้างกองทัพภาคพื้นดินเป็นทีมเซลส์และซัพพอร์ตกว่า 150 ชีวิตทั่วประเทศ เพื่อดูแลการติดตั้งและแก้ปัญหาให้ลูกค้า

Ready Planet: ความท้าทาย 25 ปีสู่ IPO ด้วยการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เรื่องราวของ Ready Planet คือมหากาพย์ที่พิสูจน์ว่าความมุ่งมั่นของ Founder คือหัวใจสำคัญที่สุด โดยสามารถแบ่งกลยุทธ์การเติบโตได้ตามช่วงเวลาดังนี้:

ยุคบุกเบิก (ปี 2000): กลยุทธ์เอาตัวรอดด้วยเงินสด ทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นธุรกิจเว็บไซต์สำเร็จรูปในห้องเก็บของที่บ้าน ในยุคฟองสบู่ดอทคอมแตกเขาใช้กลยุทธ์ตั้งราคาที่เข้าถึงง่ายเพียง 1,500 บาทต่อปี ทำให้หาลูกค้าได้กว่า 1,000 รายในปีแรกและมีกระแสเงินสดที่ดีพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติ ในช่วงนั้นเขาต้องเรียกตัวเองว่าเป็น SME เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่เป็นเซลส์ตอนกลางวันไปจนถึงโปรแกรมเมอร์ตอนกลางคืน

ยุคเติบโต: กลยุทธ์พึ่งพายักษ์ใหญ่และบทเรียนราคาแพง เมื่อมีฐานลูกค้า SME ในมือจำนวนมาก ชื่อของ Ready Planet ก็เป็นที่น่าสนใจของเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ บริษัทเข้าสู่ยุคทองด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์กับ Google, Baidu, Meta (Facebook) และ Alibaba แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ก็นำมาซึ่งกับดักที่เรียกว่า Shiny Object Syndrome หรือการอยากทำทุกอย่างไปหมด บทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้คือ การเอาอนาคตของบริษัทไปผูกไว้กับนโยบายของคนอื่นมีความเสี่ยงสูงเหมือนการ “เล่นรูเล็ต”

ยุคพลิกเกม: กลยุทธ์ Reset สู่แก่นแท้ของตัวเอง จุดเปลี่ยนสำคัญคือการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะ “ลด ละ เลิก” การเป็นพาร์ตเนอร์กับหลายเจ้า และหันกลับมาโฟกัสการพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองในชื่อ ReadyPlanet All-in-One Sales and Marketing Platform แต่แล้ววิกฤติโควิด-19 ก็ทำให้รายได้หลักที่เป็นรีเบตจากพาร์ตเนอร์ซึ่งเคยทำได้ปีละ 90 ล้านบาท หายไปเหลือเพียง 10 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทขาดทุนหนัก แทนที่จะยอมแพ้ ผู้ก่อตั้งกลับมองว่าเหตุการณ์ที่ดูเหมือน “โชคร้าย” นี้คือ “โชคดี” ที่เป็นโอกาสให้ได้ Reset ทุกอย่าง

เขาได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่โดยเปลี่ยนทีมเซลล์ทั้งหมดให้มาโฟกัสการขายแพลตฟอร์มของตัวเอง และปรับราคาขายจากเดิมหลักพันบาทไปสู่แพ็กเกจหลักหมื่นถึงหลักแสนบาทเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เพียงปีถัดมาบริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้และเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI ได้สำเร็จในปี 2022

Ecosystem View: มุมมองจากภาครัฐและตลาดทุนต่อโอกาสและความท้าทายของ SaaS ไทย

งานสัมมนาครั้งนี้ยังได้สะท้อนภาพอนาคตของระบบนิเวศ SaaS ไทย จากมุมมองของผู้กำหนดนโยบายและผู้เล่นสำคัญในตลาดทุน ทั้งจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งสะท้อนภาพทั้งโอกาสและความท้าทายที่สตาร์ตอัพไทยต้องเผชิญ

โอกาสทองของ SaaS สัญชาติไทย

ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC)
ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC)

ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC) กล่าวว่า ความตั้งใจในการจัดงานเพื่อมอบความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ SaaS ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเทรนด์ในปัจจุบันคือ “Everything as a Service” หรือการเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นบริการ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักที่ทุกบริษัทนำมาใช้เพื่อลดต้นทุนและปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ จากเดิมที่ต้องลงทุนซื้อซอฟต์แวร์เป็นแพ็กเกจ ก็หันมาใช้บริการที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่ากว่าแทน

ในประเด็นสำคัญอย่างการระดมทุนและการขยายธุรกิจ ธนพงษ์ได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจว่า โลกของ Venture Capital (VC) ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากในอดีตที่มุ่งหวังการเติบโตแบบก้าวกระโดด 10-20 เท่า มาสู่แนวทางที่ระมัดระวังและมองหาการเติบโตที่ยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น Startup ที่สามารถเติบโตได้ 2-4 เท่าภายใน 5 ปี ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุนจำนวนมากในปัจจุบัน

เขาเน้นย้ำว่า แทนที่จะทุ่มงบประมาณไปกับการตลาดเพื่อสร้างยอดดาวน์โหลดเพียงอย่างเดียว Startup ควรหันกลับมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการทำงานภายใน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอัตรากำไรให้แข็งแกร่งเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำเงินไปต่อยอดขยายบริการใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นการสร้างการเติบโตที่มั่นคงกว่า

ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ชี้ว่าเทคโนโลยีคลาวด์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทลายกำแพงด้านต้นทุน ทำให้ SME สามารถเข้าถึงเครื่องมือซอฟต์แวร์ระดับเดียวกับบรรษัทข้ามชาติได้ ไม่ว่าจะเป็น CRM หรือ Marketing Automation

โอกาสที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดเฉพาะทาง (Vertical SaaS) และความเข้าใจในบริบทไทย การเจาะตลาดเฉพาะทางที่เข้าใจกฎระเบียบ ข้อบังคับ และกระบวนการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย เช่น HealthTech, ESG Tech หรือ AgriTech เป็นความได้เปรียบที่ผู้เล่นระดับโลกไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย

ประเทศไทยมีผู้ประกอบการในตลาด SME และ Micro-SME หลายล้านราย ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจและเป็นโอกาสมหาศาล พวกเขาต้องการเครื่องมือที่ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับโทรศัพท์มือถือ (Mobile-First) และแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ทันที

SaaS ไทยสามารถเป็น ประตูสู่ตลาดอาเซียน (Gateway to ASEAN) ได้ ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ให้มุมมองว่าสตาร์ตอัพควรมี Global Mindset ตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะโซลูชันที่แก้ปัญหาให้ธุรกิจไทยได้ ก็มักจะสามารถนำไปปรับใช้กับตลาดเพื่อนบ้านที่มีลักษณะใกล้เคียงกันได้

ความท้าทายบนเส้นทางสู่การเติบโต

  • การบริหารจัดการความเสี่ยงและ PDPA: ดร.ชินาวุธ ย้ำว่าความท้าทายเชิงพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้าในระยะยาว
  • หุบเหวแห่งความตาย (Valley of Death): สตาร์ตอัพจำนวนมากมักเผชิญกับช่วง “หุบเหวแห่งความตาย” ในระหว่างการขยายธุรกิจ เพราะไม่สามารถบริหารจัดการความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นได้ ทั้งในด้านเทคโนโลยี ทีมงาน และโดยเฉพาะด้านการเงิน
  • การเตรียมความพร้อมสู่ตลาดทุน (IPO Readiness): ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai ชี้ว่าการเข้าจดทะเบียนคือเกมการเงินที่จะนำธุรกิจสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่สตาร์ตอัพต้องเตรียมตัวอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดทำระบบบัญชีตามมาตรฐาน (IFRS) การวางระบบควบคุมภายในที่โปร่งใส, ไปจนถึงการจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทที่มีกรรมการอิสระเพื่อสร้างธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเท

ธนพงษ์ ได้ฝากข้อคิดว่า ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มิได้สร้างธุรกิจขึ้นมาเพื่อขายทิ้ง แต่ต้องการที่จะอยู่และเติบโตไปกับมันในระยะยาว และการ Exit ไม่จำเป็นต้องเป็นการเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) เสมอไป การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ใหญ่กว่าผ่านการควบรวมกิจการก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะบริษัทที่เข้ามาซื้อไม่ได้ต้องการแค่เทคโนโลยี แต่ต้องการทีมงานและตัวผู้ก่อตั้งเข้าไปเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรต่อไป

“อยากฝากให้ผู้ประกอบการทุกคนวาดภาพความฝันและอนาคตของตนเองในอีก 10 ปีข้างหน้าให้ชัดเจน แล้วออกแบบเส้นทางการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างมุ่งมั่น โดยเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น เพื่อสร้างความสำเร็จในแบบฉบับของตนเอง” ธนพงษ์ กล่าว

งาน SaaS Connect Thailand 2025 ครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่งานสัมมนา แต่เป็นการจุดประกายและวางรากฐานที่สำคัญให้กับชุมชน SaaS ในประเทศไทย เพื่อสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ผลักดันให้เกิดการเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘Beyond Valuation’ สิ่งที่ VC มองหาจริง ๆ ในสตาร์ตอัพ SEA วันนี้

‘Breakthrough Energy’ ชี้ Climate Tech คือโอกาสลงทุนครั้งใหญ่ในอาเซียน

×

Share

ผู้เขียน