ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็มีมติเลือก วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ”แบงก์ชาติ” คนใหม่เป็นที่เรียบร้อย ตามที่พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลังเสนอ ตอนนี้เพียงแต่รอรับไม้ต่อจากดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯคนปัจจุบัน ที่จะครบวาระสิ้นเดือนกันยายนนี้ น่าสนใจที่บรรดาผู้สมัครผู้ว่าฯแบงก์ชาติครั้งนี้ ทุกคนมีโปรไฟล์ทางการศึกษามีประสบการณ์และประวัติการทำงานค่อนข้างดี จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก คลุกคลีอยู่กับแวดวงเศรษฐกิจ และการเงินมาอย่างโชกโชน
ในที่สุดคณะกรรมการสรรหาได้เสนอชื่อให้รัฐมนตรีคลังนำเสนอครม. 2 คนคือ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส และ วิทัย รัตนากร ทั้ง 2 มีจุดเด่นต่างกัน ดร.รุ่ง อยู่กับแบงก์ชาติมาตลอด 20 ปี โปร์ไฟล์การศึกษาก็เป็นเลิศ จบปริญญาตรี จนถึงปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก จุดเด่นดร.รุ่ง ในฐานะรองผู้ว่าฯด้านเสถียรภาพด้านการเงิน มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน รู้เรื่องและเข้าใจวัฒนธรรมการทำงานของแบงค์ชาติเป็นอย่างดี มีความเป็นนักวิชาการ ผลงานสำคัญ เช่น โครงการ Virtual Bank (ธนาคารไร้สาขา) Your Data และระบบค้ำประกันเครดิต รวมถึงมาตรการคุณสู้เราช่วย ซึ่งเป็นโครงการแก้หนี้
ขณะที่วิทัย ที่จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ในประเทศและปริญญาโทจากสหรัฐ จุดเด่นของวิทัยคือ บริหารจัดการเก่ง ผ่านประสบการณ์ทำงานมาหลากหลาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายองค์กร ผ่านการทำงานมากับรัฐบาลหลายรัฐบาล เคยทำงานกับ รมว.คลังหลายคน ตั้งแต่ยุคอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นรมว.คลัง ขอให้เข้าไปช่วยแก้วิกฤติของธนาคารอิสลามฯที่มีหนี้เสียเต็มแบงก์ ขาดสภาพคล่องอย่างหนักจนฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
สมัยที่เป็นเลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้สร้างระบบการลงทุนให้กบข. เข้มแข็งป้องกันนักการเมืองเข้ามาแทรกแซง ต่อมาสมัยอุตตม สาวนายน เป็น รมว.คลัง วิทัย ก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสินก็ได้วางแนวคิดให้แบงก์ออมสินเป็นธนาคารเพื่อสังคม จะเห็นว่าเขาได้ทำงานที่สำคัญมาตลอด
ที่หลายคนห่วงว่ามีพรรคการเมืองสนับสนุนแล้วจะเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะกดดันให้ลดดอกเบี้ยช่วยภาคธุรกิจ ค่าเงินอ่อนช่วยส่งออกและการนำเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาใช้ ซึ่งเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทยมาตลอดก็ไม่ต้องกังวล ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า ด้วยบุคคลิกที่อ่อนนอกแข็งในรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ยืดหยุ่นไม่ปะทะแต่ก็ไม่ยอมง่าย ๆ รับมือแรงกดดันทางการเมืองได้ค่อนข้างดี สะท้อนจากในยุคนายกฯเศรษฐา ที่พยายามกดดันให้ธนาคารออมสินสนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งต้องจัดวงเงินกู้ให้รัฐบาล และต้องทำระบบ IT ให้ ซึ่งวิทัยไม่แสดงอาการขัดขืน แต่ก็ไม่สนับสนุน ในที่สุดออมสินก็ไม่ได้เข้าไปสนับสนุนตามที่รัฐบาลต้องการ อีกอย่างในช่วงที่เขานั่งตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ไม่เคยมีข่าวแพร่งพรายว่ามีนักการเมืองแทรกแซง ทั้งที่ผ่านมาบางคนที่ถูกส่งมาจากพรรคการเมืองธนาคารออมสินคือแหล่งหาผลประโยชน์ ดังนั้นที่กลัวว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงน่าจะพอสบายใจได้
สำหรับผลงานโดดเด่นที่มีการพูดถึงที่สุดคือ การพลิกธนาคารออมสินที่เป็นแบงก์รัฐ จากที่เคยมุ่งเน้นกำไรเหมือนแบงก์รัฐอื่น ๆ ให้เป็นธนาคารเพื่อสังคม ช่วยเหลือประขาชน ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยให้เข้าถึงแหล่งทุนด้านการเงินด้วยนโยบายสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ นโยบายจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ จนทำให้ดอกเบี้ยที่เคยสูงถึง 28% ลดเหลือ 18-20% ลดภาระให้กับประชาชนได้มาก ขณะที่ธนาคารออมสินก็ยังมีกำไรไม่มีอะไรเสียหาย
แต่กว่าจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ ผู้นำต้องทำให้คนในองค์กรที่เคยชินกับผลประกอบการต้องมีกำไร ให้เกิดความเชื่อมั่นและพร้อมดำเนินการตามนโยบาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ต้องมีทั้งความกล้าและความเก่งในเรื่องการบริหารจัดการจริง ๆ แต่เมื่อสวมหมวกผู้ว่าฯแบงก์ชาติที่มีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ก็คงไม่ง่ายนักที่จะนำแนวคิดเพื่อสังคมมาใช้กับแบงก์พาณิชย์เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จกับธนาคารออมสิน เพราะแบงก์พาณิชย์มีเป้าหมายเน้นผลกำไรเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก คงไม่ยอมให้ลดผลกำไรลงเพื่อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลังฝืดเคืองให้เดินหน้าได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่จะต้องเจอในยามที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการฟื้นตัวอย่างอ่อนแอทั้งการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้น และภาคอุตสาหกรรมที่ซบเซา จะเป็นการพิสูจน์ว่านโยบายการลดดอกเบี้ยเชิงรุกของวิทัยจะได้ผลหรือไม่ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงเป็นปัญหาโครงสร้างที่ยังไม่ได้แก้จะดำเนินการอย่างไร
ที่สำคัญผู้ว่าคนใหม่จะต้อง “จัดวางความสมดุล” ระหว่าง “การสนับสนุนรัฐบาล” กับ “การรักษาความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ” ให้เหมาะสม ต้องรักษาความเชื่อมั่นที่เป็นจุดแข็งของแบงก์ชาติให้มั่น ต้องไม่ถูกดึงไปติดกับดักนโยบายระยะสั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับเสถียรภาพระยะยาว เพราะไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับโลกอีกมากมาย ทั้งความเปราะบางต่อภูมิรัฐศาสตร์ การค้าเสรีที่ถดถอย มาตรการภาษีของสหรัฐที่กระทบส่งออก อีกทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวของสังคมไทย ทั้งในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และการเข้าสู่สังคมสูงวัย เป็นต้น
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นบทบาทแบงก์ชาติในการกำกับดูแลแบงก์พาณิชย์คือ จะทำอย่างไรที่จะลดช่องว่างของส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ที่เป็นเสือนอนกินฟันกำไรจนพุงปลิ้น หากทำได้จะสร้างความศรัทธาให้กับแบงก์ชาติได้มากทีเดียว นี่คือโจทก์ใหญ่ที่ท้าทาย ผู้ว่าคนใหม่ อย่างมิอาจปฏิเสธได้
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
1 สิงหา 68 วันชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย
‘เศรษฐกิจ-การเมืองไทย’ ไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์