Share on
×

Share

ไปรษณีย์ไทย 142 ปี ก้าวสู่ ‘Information Logistics Hub’

ในวาระครบรอบ 142 ปีแห่งกิจการไปรษณีย์ และ 22 ปีในฐานะบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัทได้เปิดตัววิสัยทัศน์ครั้งสำคัญ สะท้อนการเดินทางจากอดีตสู่อนาคตที่ไม่ใช่แค่การส่งจดหมาย แต่คือการก้าวสู่การเป็น “Information Logistics Company” ที่แข็งแกร่ง พร้อมเปิดตัวเครื่องแบบใหม่ของบุรุษไปรษณีย์ที่ทอจากนวัตกรรมลดคาร์บอน ซึ่งทุกชุดช่วยลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 0.77 กิโลกรัม รวมทั้งโครงการสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้เทียบเท่าการขับรถรอบโลกถึง 5 รอบ ตอกย้ำทุกย่างก้าวที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้เผยความสำเร็จและทิศทางในอนาคตที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วยกลยุทธ์หลัก Sustainovation ซึ่งผสานความยั่งยืน (Sustainability) เข้ากับนวัตกรรม (Innovation) เพื่อเป็นโครงข่ายพื้นฐานที่เชื่อมโยงคนไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ

ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง: บทพิสูจน์ของการปรับตัว

การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของไปรษณีย์ไทย สะท้อนออกมาเป็นผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม – มิถุนายน) ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงการเติบโต แต่ยังเป็นการพลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน โดยมีตัวเลขเป็นเครื่องพิสูจน์

บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8.88% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และพลิกกลับมาทำกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด 362.34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นการฟื้นตัวจากสถานการณ์ ณ สิ้นปี 2567 ที่ประสบภาวะขาดทุน ในขณะที่กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้ ทำรายได้สูงสุดถึง 5,406 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 46.83% ของรายได้ทั้งหมด และเติบโตขึ้น 11.56% โดยมีปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้น 6%

ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการวางรากฐานและปรับตัวใน 2 มิติสำคัญ คือการปฏิวัติเครือข่ายโลจิสติกส์ และการสร้างระบบนิเวศค้าปลีกเพื่อชุมชน

มิติแรก คือ การปฏิวัติเครือข่ายโลจิสติกส์สู่ความ “เป๊ะแต่ยืดหยุ่น” กุญแจสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งลดลงสวนทางกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น คือการปรับปรุงเครือข่ายโลจิสติกส์ให้มีความ “เป๊ะแต่ยืดหยุ่น” (Precise but Flexible) ซึ่งหมายถึงการมีกระบวนการที่เป็นมาตรฐานและแม่นยำ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับพัสดุที่แตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นพัสดุอีคอมเมิร์ซขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ระบบคัดแยกอัตโนมัติได้อย่างรวดเร็ว สินค้าขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เครื่องมือและพื้นที่คลังโดยเฉพาะ ไปจนถึงผลผลิตทางการเกษตรอย่างผลไม้ ที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ (เช่น ตะกร้า) และการระบายอากาศที่เหมาะสม เพื่อรักษาคุณภาพให้ดีที่สุดจนถึงมือผู้รับ แนวทางนี้ทำให้ไปรษณีย์ไทยสามารถจัดการกับความหลากหลายของพัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

มิติที่สอง คือ การเปปลี่ยนจากผู้ส่งสู่ผู้สร้าง ด้วยการพัฒนาค้าปลีกเพื่อชุมชนและสร้าง Demand ของตนเอง ไปรษณีย์ไทยได้ก้าวข้ามบทบาทผู้ขนส่งมาเป็นผู้สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนอย่างเต็มตัว โดยลงลึกตั้งแต่การช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และสร้างช่องทางการขายที่แข็งแกร่งผ่านแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์ (Thailand Post Mart) และออฟไลน์ (Post Cafe) ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนผ่านช่องทางเหล่านี้ไปแล้วกว่า 360 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10%

กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้ชุมชน แต่ยังเป็นการสร้างปริมาณงานในมือของไปรษณีย์ไทยเอง ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซภายนอก และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายขนส่งที่มีอยู่ให้เต็มศักยภาพสูงสุด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตทั้งรายได้และกำไรอย่างมั่นคง

จากผู้ส่ง สู่ผู้สร้าง: พัฒนาค้าปลีกเพื่อชุมชนและสร้าง Demand ของตนเอง

หนึ่งในเสาหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของไปรษณีย์ไทย คือการปรับเปลี่ยนบทบาทองค์กรจาก “ผู้ขนส่ง” (Shipper) ที่รอรับพัสดุเพียงอย่างเดียว มาสู่การเป็น “ผู้สร้าง” (Creator) ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นน้ำ โดยมีหัวใจสำคัญคือการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ

ไปรษณีย์ไทยได้ใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของประเทศ มาต่อยอดเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกที่แข็งแกร่งทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ไม่ว่าจะเป็น

  • Thailand Post Mart: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้าชุมชนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นช่องทางให้สินค้าดีมีคุณภาพจากทั่วทุกภูมิภาคได้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ตามฤดูกาลอย่างลำไยจากภาคเหนือที่เคยประสบปัญหาราคาตกต่ำ ก็สามารถส่งตรงถึงผู้บริโภคด้วยคุณภาพที่ดี หรือสินค้าแปรรูปที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ก็มีโอกาสทางการตลาดที่กว้างขึ้น
  • Post Cafe: โครงการที่เปลี่ยนพื้นที่ในที่ทำการไปรษณีย์ให้กลายเป็นร้านกาแฟชุมชน โดยคัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพจากเกษตรกรผู้ปลูกโดยตรง เช่น กาแฟจากชุมชนในจังหวัดเชียงราย มาสร้างเป็นเครื่องดื่มที่สดใหม่ถึงมือผู้บริโภค เป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าสูงสุด

มากกว่าการเป็นเพียงช่องทางจำหน่าย สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์นี้แตกต่างคือการเข้าไปเป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับชุมชนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด ช่วยออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม ทันสมัย และที่สำคัญคือต้องแข็งแรงทนทาน เหมาะสมกับการขนส่ง เพื่อลดความเสียหายระหว่างทาง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าชุมชนให้สามารถแข่งขันในตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้

ในมิติทางธุรกิจ กลยุทธ์นี้คือการสร้าง “Captive Demand” หรือการสร้างปริมาณงานขนส่งในมือของไปรษณีย์ไทยเองอย่างชาญฉลาด ทุก ๆ การสั่งซื้อที่เกิดขึ้นบน Thailand Post Mart หรือวัตถุดิบที่ส่งมายัง Post Cafe จะถูกขนส่งผ่านเครือข่ายของไปรษณีย์ไทย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาและสงครามราคาบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซภายนอก ทำให้ไปรษณีย์ไทยมีปริมาณงานที่มั่นคงและสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ช่องทางนี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนไปแล้วกว่า 360 ล้านบาท ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่านี่คือโมเดลธุรกิจที่สร้างประโยชน์ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน (Win-Win Situation) อย่างแท้จริง

กลยุทธ์ “142” ทิศทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน

เพื่อนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายแห่งการเติบโตที่ยั่งยืน ไปรษณีย์ไทยได้ตกผลึกทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินงานออกมาเป็นตัวเลขที่จดจำง่ายแต่ลึกซึ้ง นั่นคือ “142” ซึ่งเปรียบเสมือนเข็มทิศที่กำหนดทุกย่างก้าวขององค์กรในปัจจุบันและอนาคต

1 คือเป้าหมายหนึ่งเดียว คือการเป็นอันดับหนึ่งด้านความเชื่อมั่น (Trusted Brand)

เป้าหมายสูงสุดของไปรษณีย์ไทย คือการก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการขนส่งที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งจากคนไทยทุกคน ความไว้วางใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การส่งของถึงที่หมาย แต่ครอบคลุมถึงคุณภาพในทุกมิติ ตั้งแต่พัสดุที่ไม่แตกหักเสียหาย การบริการที่โปร่งใสไม่มีทุจริต ไปจนถึงการดูแลหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ไปรษณีย์ไทยได้ประกาศใช้นโยบาย Zero Complaint ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นเลย แต่หมายถึงเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะต้องเข้าแก้ไขอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุดจนลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและไม่จำเป็นต้องร้องเรียน โดยได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการปรับโครงสร้างและเพิ่มบุคลากรในหน่วยงานที่ดูแลประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) และการบริการหลังการขายขึ้นถึง 4 เท่าตัว หรือมากกว่า 1,500 คน เพื่อให้พร้อมดูแลและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

4 คือ 4 พลังขับเคลื่อนหลัก (The Four Powers)

การดำเนินงานในทุกมิติจะถูกขับเคลื่อนด้วย 4 พลังหลักที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนในยุคปัจจุบัน

  1. Post Express คือ พลังความเร็ว มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพและความเร็วในการจัดส่งบริการด่วน (EMS) อย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวชี้วัดที่ท้าทายกว่ามาตรฐาน SLA ทั่วไป คือการเพิ่มสัดส่วนพัสดุที่สามารถจัดส่งถึงผู้รับ ภายใน 24 ชั่วโมง ให้ได้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้วมากกว่า 79% ของปริมาณงานทั้งหมดทั่วประเทศ
  2. Post Solution คือ พลังธุรกิจ การพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าภาคธุรกิจและตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการคลังสินค้าออนไลน์ (Fulfillment) “ส่งใหญ่” สำหรับสินค้าขนาดพิเศษ “ส่งเย็น” (Cold Chain) ที่ได้มาตรฐานสำหรับการจัดส่งยา เวชภัณฑ์ และอาหารสด ไปจนถึงการเจาะตลาดที่มีการเติบโตสูงอย่างตลาดสัตว์เลี้ยง
  3. Post World คือ พลังเชื่อมโลก ใช้ความแข็งแกร่งของเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 200 ปลายทางทั่วโลก เพื่อเป็นประตูสู่ตลาดสากลให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ผ่านบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งสินค้าไปขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon (Fulfillment by Amazon) และ eBay พร้อมทั้งกำลังพัฒนาสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์หลายรูปแบบ (Multimodal Logistics) ทั้งทางราง รถ เรือ และเครื่องบิน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
  4. Post Next คือ พลังความล้ำ พลังแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะเข้ามาสร้างบริการรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ยุคถัดไป

2 คือ 2 บทบาทสำคัญต่อสังคม

จากพลังทั้ง 4 นำมาสู่บทบาทที่ไปรษณีย์ไทยตั้งมั่นที่จะทำเพื่อสังคมไทย ซึ่งมี 2 บทบาทหลัก คือ บทบาท Shipper ผู้จัดส่ง เป็นการสานต่อภารกิจดั้งเดิมในการส่งทุกความสัมพันธ์ เป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจ และชุมชนเข้าไว้ด้วยกันผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่ง และบทบาทที่สอง คือ บทบาท Navigator ผู้นำทาง พัฒนาสู่บทบาทใหม่ในการ “นำพาทุกความสำเร็จ” โดยทำหน้าที่เป็นเพื่อนคู่คิดและผู้สนับสนุนที่ช่วยให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยหรือธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในเส้นทางของตนเองได้

ก้าวต่อไป: สู่การเป็น Information Logistics Company

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในยุคดิจิทัล คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เมื่อจดหมายซึ่งเป็นรายได้หลักในอดีตถูกลดทอนบทบาทและเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นข้อมูลบนโลกออนไลน์ ในขณะที่ไปรษณีย์ไทยยังคงมีภารกิจในการดูแลโครงข่ายพื้นฐานที่ต้องเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศตาม พ.ร.บ.ไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 ทำให้ต้นทุนในการดูแลเครือข่ายยังคงอยู่ครบถ้วน

ด้วยเหตุนี้ การหยุดนิ่งอยู่กับการเป็นเพียง Logistic Company ที่ขนส่งพัสดุทางกายภาพเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืนอีกต่อไป วิสัยทัศน์ก้าวต่อไปของไปรษณีย์ไทยคือการปฏิวัติตัวเองสู่การเป็น “Information Logistics Company” ซึ่งหมายถึงองค์กรที่สามารถ “ขนส่งข้อมูล” ได้อย่างน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับการขนส่งพัสดุที่เป็นรูปธรรม

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้คือการออกแบบประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ใหม่ทั้งหมดเพื่อเชื่อมต่อโลกออฟไลน์ที่แข็งแกร่งเข้ากับโลกดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น

  • Post ID (Digital Post ID) คือ รากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ Post ID ไม่ใช่แค่รหัสไปรษณีย์ 6 หลักแบบใหม่ แต่คือ “ที่อยู่ดิจิทัล” ที่ระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำถึงระดับหน้าประตูบ้าน (Pin-point Location) และผูกกับตัวตนของผู้รับที่ผ่านการยืนยันแล้ว สิ่งนี้จะเข้ามาแก้ปัญหาความซับซ้อนของที่อยู่ในประเทศไทย ช่วยลด Human Error จากการเขียนที่อยู่ผิดพลาด และจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญของประเทศ ที่สามารถนำไปต่อยอดในบริการอื่น ๆ ได้ โดยจะเริ่มเปิดให้ใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
  • Super App คือ ช่องทางดิจิทัลหลักที่จะรวบรวมทุกบริการของไปรษณีย์ไทยไว้ในที่เดียว ผู้ใช้บริการจะสามารถติดตามพัสดุได้อย่างละเอียด เปลี่ยนแปลงเวลานัดหมายการจัดส่ง รู้ข้อมูลบุรุษไปรษณีย์ที่จะนำส่ง และเข้าถึงบริการ Post ID ได้อย่างสะดวกสบาย Super App นี้จะเป็นจุดสัมผัส (Touchpoint) สำคัญที่มอบประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย เทียบเท่ากับแอปพลิเคชันไลฟ์สไตล์ชั้นนำ โดยมีเป้าหมายเปิดตัวภายในสิ้นปีนี้
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กับ Super App ช่องทางดิจิทัลหลักที่จะรวบรวมทุกบริการของไปรษณีย์ไทยไว้ในที่เดียว

การใช้ประโยชน์จาก AI และ Data ไปรษณีย์ไทยจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในทุกมิติ ทั้งการยกระดับการบริการลูกค้าผ่านแชทบอทอัจฉริยะ และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาเส้นทางการขนส่งที่ดีที่สุด การบริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้า (Digital Twin) และอาจต่อยอดไปสู่การให้บริการข้อมูลในฐานะ Data as a Service ในอนาคต

การเดินทางสู่การเป็น “Information Logistics Company” จึงไม่ใช่การละทิ้งตัวตนเดิม แต่คือการสร้าง “ชั้นข้อมูลดิจิทัล” (Digital Layer) ขึ้นมาซ้อนทับบนเครือข่ายกายภาพ (Physical Network) ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือซึ่งสั่งสมมาตลอด 142 ปี เพื่อให้ไปรษณีย์ไทยยังคงเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงประชาชน ธุรกิจ และสังคมไทยเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Canon เปิดตัว ImageFORCE เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันชูนวัตกรรม AI จากไทย

KATALYST และ FlowAccount จุดพลุ SaaS Tech Conference ครั้งแรกในไทย สร้างพิมพ์เขียวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน