ปัจจุบัน คาร์บอนเครดิต มีความสำคัญมากเรื่องการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเปิดโอกาสให้บริษัทหรือองค์กรที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ในทันที สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ลดก๊าซเรือนกระจกได้ ในราคาที่ตกลงกันได้ตามคุณภาพคาร์บอนที่แลกเปลี่ยน ปัจจุบันเองประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้โดยการสร้างความตระหนักรู้เรื่อง “คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง” ซึ่งคือเครดิตที่เกิดจากการดำเนินโครงการที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริงและมีความโปร่งใสในการตรวจสอบ คาร์บอนเครดิตเหล่านี้ต้องเป็นผลมาจากโครงการที่มีการลดก๊าซเพิ่มเติมจากการทำงานปกติ มีการตรวจสอบว่าไม่เกิดการนับซ้ำ มีความถาวร และสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล นอกจากนี้ โครงการที่สร้างคาร์บอนเครดิตยังควรสร้างผลประโยชน์เสริมให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว
ภายในงาน “ปลูกป่า ปลูกคน: ทางเลือก ทางรอด หรือ Mae Fah Luang Sustainability Forum 2024” โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (Mae Fah Luang Foundation under Royal Patronage) ได้จัดเวทีเสนาเรื่อง “ตามหาคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง” โดย รองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พร้อมกับ สมิทธิ หาเรือนพืชน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานพิเศษ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และปราณี ราชคมน์ ประธานเครือข่ายป่าชุมชน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ผู้แทนชุมชน เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องการดำเนินการที่ผ่านมา ผลลัพธ์จากการทำงาน รวมถึงกล่าวความประทับใจในความร่วมมือกันของภาคส่วนต่างๆ เพื่อมุ่งหวังสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงของประเทศไทยในอนาคต
รู้จัก “คาร์บอนเครดิต” หนึ่งในกลไกทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนความยั่งยืน
คาร์บอนเครดิตเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจก เป็นแนวทางการสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว โดยคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หน่วยงาน หรือองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาร์บอนเครดิตถูกใช้เป็นกลไกหนึ่งในระบบการซื้อขายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
ที่มาของคาร์บอนเครดิตในปี 1997 เกิดจาก พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ซึ่งเป็นข้อตกลงระดับโลกที่สำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อตกลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำกลไกตลาดคาร์บอนมาใช้ และทำให้แนวคิดเรื่อง คาร์บอนเครดิต เพื่อให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซได้ง่ายขึ้น หนึ่งในกลไกที่สำคัญคือ Clean Development Mechanism (CDM) ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้โดยผ่านโครงการในประเทศกำลังพัฒนา และรับคาร์บอนเครดิตในรูปแบบของ Certified Emission Reductions (CERs)
กลไกนี้ส่งผลให้เกิดการสร้างตลาดคาร์บอนเครดิตขึ้น โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกสามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศได้ เป็นที่มาของ ตลาดคาร์บอน ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ประเทศหรือองค์กรต่าง ๆ สามารถซื้อขายคาร์บอนเครดิตหรือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ปล่อยก๊าซเกินเป้า หากบริษัทหนึ่งปล่อยก๊าซมากกว่าที่กำหนด เช่น โรงงานที่ปล่อยก๊าซเยอะ แต่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ทันที บริษัทนั้นต้อง ซื้อเครดิตคาร์บอน จากบริษัทอื่นหรือโครงการที่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากกว่าที่กำหนด ในทางกลับกันหากบริษัทใดสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เช่น บริษัทที่ใช้พลังงานหมุนเวียนหรือมีการปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอน บริษัทนั้นสามารถ ขายเครดิตคาร์บอน ของตัวเองได้ เป้นต้น
รองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงในประเทศไทย โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงชุมชนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญช่วยผลักดันให้ประเทศไทยได้มีโอกาสขายคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงให้กับผู้ที่สนใจซื้อ หวังว่าจะเป็นหนึ่งฟันเฟืองที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิขของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดนักลงทุน การสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก และการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงยังเป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การตามหาคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง
การตามหาคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงนั้นไม่ยาก เพียงแต่ต้องมีการดำเนินโครงการที่สามารถตรวจสอบว่าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และผ่านมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยทั่วไปคาร์บอนเครดิตมี 2 รูปแบบ ได้แก่
- Compliance Carbon Credits เป็นคาร์บอนเครดิตที่อยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของภาครัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการในกลไก Clean Development Mechanism (CDM) ภายใต้พิธีสารเกียวโต โครงการที่ประเทศหรือองค์กรต้องดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซและได้รับคาร์บอนเครดิตในตลาดที่มีกฎบังคับ ตัวอย่างโครงการในกลไก CDM คือ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือ โครงการจัดการขยะในชุมชนเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน เป็นต้น
- Voluntary Carbon Credits เป็นคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการหรือกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรหรือบุคคลทำโดยสมัครใจ ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับ เช่น โครงการปลูกป่า การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่เกิดจากการริเริ่มขององค์กรหรือชุมชน ตัวอย่างโครงการโครงการปลูกป่าชุมชนในประเทศไทยเพื่อกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
ด้านมาตรฐานของการที่ใช้คำนวณคาร์บอนเครดิตในโครงการต่าง ๆ ทั่วโลกได้แก่
- มาตรฐาน CDM (Clean Development Mechanism) เป็นกลไกหนึ่งใน พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ที่ช่วยให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถทำโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา และได้รับ Certified Emission Reductions (CERs) ซึ่งสามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซในประเทศของตนได้
- มาตรฐาน T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) เป็นมาตรฐานที่พัฒนาโดยประเทศไทยสำหรับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ ซึ่งดำเนินการโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) โดยมีการออกคาร์บอนเครดิตในรูปแบบ TVERs สำหรับโครงการในระดับท้องถิ่นและภาคเอกชน
- มาตรฐาน CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) มาตรฐานเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมการบิน โดยดำเนินการผ่าน องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการบินระหว่างประเทศ องค์กรการบินจะต้องชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกินจากระดับในปี 2020 ผ่านการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ได้รับการรับรอง เช่น สายการบินไทยแอร์เอเชีย หรือ Singapore Airlines เป็นต้น
- มาตรฐาน ISO 14064 มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กรและโครงการต่าง ๆ ซึ่งองค์กรสามารถใช้เพื่อคำนวณและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โครงการ ปลูกป่า ปลูกคน: ทางเลือก ทางรอด ผลักดันคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงร่วมกับชุมชน
สมิทธิ หาเรือนพืชน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานพิเศษ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผู้นำโครงการ “ปลูกป่า ปลูกคน: ทางเลือก ทางรอด หรือ Mae Fah Luang Sustainability Forum 2024” ก็เป็นเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มสร้างกลไกแบบ Voluntary Carbon Credits ในการทำงานร่วมกับชุมชนภาคส่วนต่างๆ เพื่อดำเนินการสร้างคาร์บอนเคดิตคุณภาพสูงเช่นเดียวกัน โดยเน้นเรื่องการพัฒนาคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ร่วมกับภาคชุมชนซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้เท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังความรู้และการสร้างคนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดูแลและอนุรักษ์ป่าไม้ได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการจัดสรรหาทุนงบประมาณในการสนับสนุนชุมชนให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทังยังมีเรื่องการใช้ข้อมูลมหาศาลจากเทคโนโลยีดาวเทียมในการวิเคราะห์พื้นที่ที่มีแนวโน้มเกิดไฟป่าหรือการตรวจสอบพื้นที่บุกรุกเพื่อให้มีการป้องกันอย่างทันถ่วงที
สมิทธิสังเกตว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านพ.ร.บ.ป่าชุมชน ซึ่งเป็นเป็นกฎหมายที่ให้สิทธิชุมชนในการมีส่วนร่วมดูแลพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ โดยพื้นที่ป่าชุมชนที่มีการดูแลอยู่ประมาณ 6.8 ล้านไร่ ส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 78 ล้านคนทั่วประเทศ การดำเนินงานด้านการดูแลป่าไม้นั้นได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการจัดการพื้นที่ป่า เช่น การสร้างโครงการอนุรักษ์และป้องกันไฟป่า ภาคเอกชนก็เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนด้านทรัพยากรและการปฏิบัติการในพื้นที่ เช่น โครงการของไทยเบฟที่ให้ความช่วยเหลือในการดูแลป่าไม้และการดับไฟป่า แต่พลังที่สำคัญที่สุดคือ ชุมชน เพราะชุมชนอาศัยอยู่ใกล้ป่าและมีบทบาทในการปกป้องพื้นที่เหล่านี้อยู่เสมอ
ขณะที่ ปราณี ราชคมน์ ประธานเครือข่ายป่าชุมชน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ผู้แทนชุมชน ได้กล่าวถึงการเข้าร่วมโครงงานและความร่วมมือกันของภาคส่วนต่าง ๆ ในการพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ไว้ว่า แรกเริ่มมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาการบุกรุกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 พื้นที่ป่าชุมชนหลายแห่งในประเทศไทยเผชิญกับการบุกรุกที่หนักหน่วง มีผู้บุกรุกเข้ามาทำลายทรัพยากรป่าไม้มากกว่าผู้ที่พยายามอนุรักษ์ ปัญหานี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของชุมชนในพื้นที่ แหล่งทำกินซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพาเริ่มหายไป ดินกลายเป็นแห้งแล้ง น้ำไม่สามารถเข้าถึง และอาหารที่เคยมีในชุมชนก็ลดลงอย่างมาก อาชีพเพาะปลูกซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของคนในพื้นที่ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เนื่องจากดินไม่อุดมสมบูรณ์พอที่จะทำการเกษตร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บุกรุกบางรายยังเป็นนายทุนที่มองเห็นโอกาสในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เหล่านี้เพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้ชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมต้องสูญเสียทรัพยากรไปอย่างต่อเนื่อง
ชาวบ้านหลายคนเริ่มตระหนักว่า หากปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นต่อไป อนาคตของลูกหลานจะยิ่งยากลำบาก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตั้งใจที่จะสร้างพื้นที่ป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง การลดการบุกรุกป่าไม้และการรักษาทรัพยากรให้ยั่งยืนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลัก เริ่มจากการจัดประชุมชาวบ้านเพื่อพูดคุยหาแนวทางร่วมกัน ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่า แต่การจะเพิ่มพื้นที่ป่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งเวลา ความพยายาม และความเข้าใจที่ถูกต้อง การทำงานกับชุมชนต้องใช้ความประนีประนอม การพูดคุยกับชาวบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาถึงกว่า 10 ปี เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจถึงผลกระทบของการบุกรุกป่าไม้
เมื่อตระหนักได้ว่าการเผาป่าและการทำไร่เลื่อนลอยไม่เพียงแต่ทำลายป่า แต่ยังทำให้ชีวิตของพวกเขาเองได้รับผลกระทบ ชาวบ้านจึงเริ่มหยุดการบุกรุกและหันมาร่วมกันฟื้นฟูป่าไม้แทน การได้เข้าร่วมทำงานกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงช่วยตรวจสอบความสำเร็จของการดูแลป่าไม้ของชุมชนในหลายพื้นที่ มีการประเมินว่าพื้นที่ไหนที่ไม่มีการบุกรุกหรือไฟป่า และเมื่อมีการนำโครงการคาร์บอนเครดิตเข้ามา ก็ช่วยเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเรื่องการจัดการป่าไม้มากยิ่งขึ้น
การทุ่มเทเพื่อฟื้นฟูป่าไม้ อาหาร และน้ำในชุมชนอาจดูเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แต่สิ่งนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต แม้ปัญหาป่าไม้จะดูยิ่งใหญ่และเกินกำลัง แต่ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจและความพยายามของพวกเรา แม้ป่าจะกว้างใหญ่แค่ไหน หากเรามุ่งมั่น เราก็สามารถทำได้ การสร้างคนที่มีจิตสำนึกในการหวงแหนและดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ ป่าไม้ ต้นไม้ และธรรมชาติมีคุณค่าต่อชีวิตของพวกเราทุกคน และการรักษาป่าไม้คือการรักษาทรัพยากรที่มีค่าให้กับลูกหลานในอนาคต
ความท้าทายที่เกิดขึ้นในการสร้างเครดิตคาร์บอนคุณภาพสูง
รองเพชร พิจารณาว่าการทำให้คาร์บอนเครดิตกลายมาเป็น คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานและการดำเนินการโครงการที่ออกคาร์บอนเครดิต ต้องมีความโปร่งใสและการตรวจสอบ คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงต้องมาจากโครงการที่สามารถวัดและตรวจสอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างชัดเจน มีวิธีการเก็บข้อมูลที่โปร่งใสและผ่านการตรวจสอบโดยองค์กรที่เชื่อถือได้ เช่น องค์กรอิสระที่ได้รับการรับรอง ปัจจัยเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้จากวิธีการดำเนินงาน การตรวจสอบ และผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจริงและสามารถวัดได้อย่างชัดเจน (Real and Measurable) การลดก๊าซต้องเป็นผลมาจากโครงการที่ดำเนินการจริง ไม่ใช่การคาดการณ์หรือการอ้างอิงในเชิงทฤษฎี และผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนอย่างการสร้างผลประโยชน์เสริมให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
สมิทธิ เสริมว่า การทำงานกับชุมชนต้องใช้พลังงานและความตั้งใจสูงมาในการสื่อสารองค์ความรู้ต่างๆให้กับชุมชน เพราะความแตกต่างในทางความคิดและประสบการณ์ยังต้องปรับให้เข้าใจตรงกันก่อนที่จะเริ่มดำเนินการไปในเป้าหมายและทิศทางเดียวกัน และการทำงานในเรื่องการปลูกป่าและพัฒนาคาร์บอนเครดิตไม่สามารถสำเร็จได้เพียงฝ่ายเดียว การร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ จะทำให้การพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตต้องป้องกันปัญหาการ “ฟอกเขียว” ซึ่งหมายถึงการสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้ลงมือทำจริง โครงการที่ได้ผลลัพธ์จริงจึงต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ชุมชนสามารถดูแลและปกป้องป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น งบประมาณกว่า 75 ล้านบาทถูกใช้เพื่อสนับสนุนการดูแลป่าไม้และจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น
ปราณี ปิดท้ายว่า ถึงแม้ปัญหาป่าไม้จะใหญ่เกินไปสำหรับมือเล็กๆของเรา แต่มันไม่เกี่ยว เพราะหากเรามีความตั้งใจและความพยายามไม่ว่าป่าไม้จะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน ถ้าเราตั้งใจเราก็ทำได้ ป่ามันอยู่เองโดยธรรมชาติแต่เราจะมุ่งในการสร้างคน ให้มีจิตสำนึก หวงแหน สิ่งเเวดล้อม ป่า ต้นไม้ เพื่อให้ป่าไม้เรายั่งยืนมากขึ้นเพื่อเป้นการการันตีโครงการคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง ว่าสามารถทำและสร้างผลลัพธ์ที่เห็นผลได้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ภาคเอกชนไทยหนุนความร่วมมือ ACMECS ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตอย่างยั่งยืน
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ ‘ปลูกป่า ปลูกคน’ ทางออกของไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส