Share on
×

Share

อินโนสเปซ เดินหน้าลงทุนใน Deep Tech ตั้งเป้าพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ตอัพไทยโตยั่งยืน

บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด แถลงภาพรวมการดำเนินงานในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมาเดินหน้าได้ตามเป้าหมาย พร้อมเผยแนวทางการดำเนินงานในปี 2565 ซึ่งจะมุ่งเน้นการส่งเสริม Deep Tech สตาร์ตอัพไทยให้มากขึ้น ภายใต้สองกองทุนใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ระบบนิเวศของไทยเอื้อต่อการพัฒนาเติบโตของสตาร์ตอัพสัญชาติไทย สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้อย่างยั่งยืน  

การเปิดเผยทิศทางและแผนการดำเนินงานของอินโนสเปซในปี 2565 นี้มีขึ้นระหว่างการประชุม อินโนสเปซ ซัมมิท 2021 (Innospace Summit 2021) เป็นครั้งแรก ภายใต้แนวคิด create an ecosystem for innovative startup เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา โดย ต่อตระกูล วัฒนวรกิจกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนสเปซ จำกัด ได้ขึ้นแถลงการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ที่ผ่านมา ว่า แม้จะก่อตั้งในช่วงเดือนกันยายนปี 2019 แต่การดำเนินการจริงๆ กลับเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ทำให้การดำเนินการของอินโนสเปซ ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด -19

ทั้งนี้ สิ่งที่อินโนสเปซได้ลงมือทำก็คือ การช่วยเหลือสตาร์ตอัพไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ด้วยการตั้งกองทุนแรกขึ้นมาอย่าง อินโนสเปซ บริดจ์ ฟันด์ (Innospace Bridge Fund) ซึ่งเปิดรับสมัครในช่วงเดือนเมษายนปี 2563 ช่วงโควิดรอบแรกระบาดพอดี โดยมีสตาร์ทอัพสมัครเข้าร่วม 138 ราย เลือกพิทชิ่งได้ 62 ราย ซึ่งพิจารณาจาก 2 แนวทางหลัก คือความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการเติบโต 

“แต่สิ่งที่เรามองหาเพิ่มเติมในโครงการบริดจ์ ฟันด์ ก็คือความสามารถในการอยู่รอด หรือ resilience ของสตาร์ตอัพ ซึ่งจาก 138 สตาร์ตอัพ เราเลือกมาเหลือ 14 สตาร์ตอัพ ที่มีครบทั้งความสามารถในการแข่งขัน เติบโต และอยู่รอด โดยความสามารถในการอยู่รอด ดูจาก 2 ปัจจัย คือ ความสามารถในการปรับตัวทั้งในรูปแบบของธุรกิจและการทำงาน แล้วก็การที่เป็น lean operation เช่น Que Q, Freshket และ Creden”

สำหรับแผนงานอินโนสเปซ ในปี 2565 ต่อตระกูล เผยว่าบริษัทได้มีการจัดเตรียมกองทุนไว้ 2 กองทุน โดยกองทุนแรกก็คือ Quick -Win Fund ซึ่งจะเน้นเฟ้นหาการลงทุนใน high-potential startup หรือสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพสูง คือมีทั้งความสามารถในการเติบโต แข่งขัน อยู่รอด และสามารถเป็นผู้เล่นในระดับภูมิภาคหรือระดับโลก มีสิทธิ์ก้าวขึ้นเป็นยูนิคอร์น และเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยมีทุนตั้งต้นเตรียมไว้ที่ 200 ล้านบาท 

ในส่วนของกองทุนที่สองคือ Big-Wind Fund ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของอินโนสเปซ ในการปิดช่องว่างด้วยการสนับสนุนการลงทุนใน Deep Tech สตาร์ตอัพ โดยอินโนสเปซ จะทำหน้าที่ทั้งลงทุนและบ่มเพาะ สตาร์ตอัพด้าน Deep Tech ให้สามารถนำนวัตกรรเทคโนโลยีที่มีอยู่ หรืองานวิจัยที่มีอยู่ แปลงมาเป็นธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างการเติบโตแบบ s-curve ให้กับประเทศ ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และการบริการ 

“เรียกง่าย ๆ คือ เป็นการผลักดันงานวิจัยที่อยู่ในหิ้ง ให้มาทำธุรกิจในห้างได้ ซึ่งจะมี 3 เทคโนโลยีที่เราสนใจ โดยประมวลมาจากยุทธศาสตร์พัฒนาชาติ ครอบคลุม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ BCG (Bio Circular Green Economy) ซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของผู้ร่วมถือหุ้นลงทุนของอินโนสเปซ คือ เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ด้านการแพทย์และยารักษาโรค อาหารเพื่ออนาคต (Food for the future) และอุตสาหกรรม 4.0 ที่มุ่งเน้นทางด้านอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมนวัตกรรม (innovative industry)”

ด้าน เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานกรรมการ บริษัท อินโนสเปซ จำกัด ได้กล่าวถึงพันธกิจหลักของอินโนสเปซในระหว่างพิธีเปิดการประชุมว่า คือความพยายามส่งเสริมระบบนิเวศของประเทศไทย ที่ทำให้สตาร์ตอัพสัญชาติไทยสามารถก้าวไปสู่การเป็น IDE คือ Innovation Driven Enterprise หรือเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เป็นกองกำลังให้กับเศรษฐกิจประเทศไทยในการเผชิญหน้ากับโลกยุคนิวนอร์มอลได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป 

วิสัยทัศน์เราตั้งใจว่าจะเป็นองค์กรที่ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร แต่สามารถกระตุ้นให้เกิดการทำกำไรได้ ด้วยการส่งเสริมการนำ Deep Tech มาใช้เป็นฐานของธุรกิจยุคใหม่ โดยอิงกับเทคโนโลยีขั้นสูง แต่อาจจะต้องอาศัยเวลาสักระยะหนึ่ง นอกจากนี้ก็มีการฟูมฟักบ่มเพาะให้เกิดยูนิคอร์นไทยขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์การดำเนินการหลักของอินโนสเปซจะไม่ดำเนินการซ้ำซ้อนกับสิ่งที่รัฐบาลหรือองค์กรเอกชนอื่น ๆ ได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว และจะมุ่งเข้าไปเสริมใน 3 ด้านด้วยกันคือ 1) Gap Filling เติมช่องว่างในการลงทุนที่ต่อยอดจากงานวิจัยต่าง ๆ ด้วยการลงทุนในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้เป็นรูปเป็นร่าง ก่อนส่งต่อให้เอกชนเข้ามาลงทุน ในระยะต่อไป ส่วนที่ 2) คือ Alignment ที่มุ่งสนับสนุนสตาร์ตอัพใน Deep Tech และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่สามารถนำมาช่วยให้เกิดการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพ หรือแก้ปัญหา pain point ของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยมีพันธมิตรจากภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้ให้โจทย์แก่บรรดาสตาร์ตอัพในการหาโซลูชัน รวมถึงเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรม และส่วนที่ 3) คือ Synergy หรือการประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ระบบนิเวศของไทยทรงพลังและมีประสิทธิภาพ สามารถสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เติบโตต่อไปได้

ทั้งนี้ อินโนสเปซ และพันธมิตรมองว่า การจะสนับสนุนสตาร์ตอัพไม่สามารถทำคนเดียวได้ จำเป็นต้องร่วมมือกันทำ จึงเป็นที่มาของโครงการความร่วมมือเพื่อสนับสนุน Deep Tech สตาร์ตอัพ กับทางภาครัฐอย่างดีป้ากับสวทช. จึงเป็นที่มาของการลงนามในบันทึกความเข้าใจ MOU ระหว่างอินโนสเปซ กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และสวทช. ในการชุมครั้งนี้ในโครงการ Deep Tech Venture 

ขณะเดียวกัน ก็มีการประกาศการร่วมลงทุนใน Startup ของ Horganice ภายใต้โครงการ dVenture ระหว่าง ดีป้า บีคอน วีซี และอินโนสเปซ โดยตั้งเป้าผลักดันให้สตาร์ตอัพแห่งนี้สามารถเติบโตในระดับประเทศ ผ่านการการเข้าถึงตลาดภาครัฐ และมาตรการด้านภาษี พร้อมเปิดโอกาสการเข้าถึงผู้ประกอบการภาคเอกชน เอสเอ็มอี ร้านค้า และชุมชนผ่านโครงการต่าง ๆ ของ ดีป้า ก่อนก้าวสู่ระดับภูมิภาคได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า โครงการ dVenture (depa Venture Building Network Program) เป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งดีป้าจะเข้าไปสนับสนุนดิจิทัลสตาร์ทอัพที่ได้รับการลงทุนจากเครือข่ายพันธมิตรในลักษณะของการร่วมลงทุน (Matching Fund) พร้อมส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ตอัพ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

สำหรับการลงทุนใน บริษัท ฮอร์แกไนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำตลาดแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพื้นที่เช่า และหนึ่งในดิจิทัลสตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่มีศักยภาพ ทางอินโนสเปซ ได้ร่วมลงทุนกับดีป้า และบริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันและพัฒนาให้ ฮอร์แกไนซ์ สามารถเติบโตในระดับประเทศและระดับภูมิภาคต่อไปได้

ด้าน ธนพงษ์ ณ ระนองก รรมการผู้จัดการ บีคอนวีซี กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการต่อยอดการลงทุนในดิจิทัลสตาร์ตอัพของทางบริษัท ซึ่ง บีคอน วีซี เล็งเห็นศักยภาพการขยายตลาดและจุดแข็งในการเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการพื้นที่เช่าของ ฮอร์แกไนซ์ ที่จะสามารถต่อยอดความร่วมมือและขยายฐานการให้บริการไปสู่กลุ่มลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งความร่วมมือในโครงการ dVenture นี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ เอสเอ็มอี บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ และชุมชนต่าง ๆ ผ่านโครงการของ ดีป้า อีกทั้งเป็นแรงผลักดันให้ ฮอร์แกไนซ์ สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

ขณะที่ ต่อตระกูล วัฒนวรกิจกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินโนสเปซ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้นับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพในประเทศไทย และจะช่วยกระตุ้นให้การดำเนินธุรกิจของดิจิทัลสตาร์ทอัพไปได้ไกลขึ้นอีกขั้น โดย ฮอร์แกไนซ์ ถือเป็นดิจิทัลสตาร์ตอัพที่มีโอกาสในการเติบโตสูง การร่วมส่งเสริมและสนับสนุนของ ดีป้า ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการผลักดันให้ ฮอร์แกไนซ์ เข้าสู่ตลาดภาครัฐ และภาคเอสเอ็มอี ผ่านมาตรการต่าง ๆ ของ ดีป้า ได้มากขึ้น

ส่วน ธนวิชญ์ ต้นกันยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮอร์แกไนซ์ กล่าวว่า บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ dVenture ภายใต้การสนับสนุนของ ดีป้า บีคอน วีซี และ อินโนสเปซ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมขยายการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้  ฮอร์แกไนซ์ คือดิจิทัลสตาร์ตอัพสัญชาติไทยผู้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบบริหารหอพักและอะพาร์ตเมนต์ ครอบคลุมการบริหารมากกว่า 10,000 โครงการ และมีห้องพักในระบบมากกว่า 500,000 ห้องทั่วประเทศ ปัจจุบัน ฮอร์แกไนซ์ มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าธนาคาร หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี)

“สุดท้ายก็ขอขอบคุณพันธมิตร นักลงทุน และผู้ที่สนใจในการเข้าใจและให้การสนับสนุนการดำเนินการของอินโนสเปซด้วยดีเสมอมา ซึ่งเป้าหมายของอินโนสเปซในปีหน้าก็จะมุ่งไปตามแนวทางที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Quick-Win Fund, Big-Wind Fund และการร่วมมือต่าง ๆ” ต่อตระกูล กล่าวปิดท้าย

อินโนสเปซมีจุดเริ่มต้นจากแผนยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับพัฒนาขีดความสามารถประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งหนึ่งในแนวทางสำคัญคือการให้การสนับสนุนสตาร์ตอัพที่จะกลายเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย โดยในปี 2562 ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับองค์กรรัฐ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนมากกว่า 50 แห่งจัดตั้งบริษัทอินโนสเปซ สำหรับการเป็นแนวหน้าในการระดมเงินเพื่อร่วมลงทุนยกระดับพัฒนาสตาร์ทอัพไทย พร้อมประสานความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำจากต่างประเทศให้เข้ามาช่วยเหลือธุรกิจสตาร์ตอัพสัญชาติไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล 

อินโนสเปซก่อตั้งขึ้น ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2019 เพื่อสร้างระบบนิเวศในการสร้างสตาร์ตอัพไทย โดยไม่หวังผลกำไร และตั้งเป้าจัดสรรทุนประมาณ 70% หรือประมาณ 500 ล้านบาทของทุนจดทะเบียนกว่า 700 ล้านบาท ลงทุนในสตาร์ตอัพที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย และสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และสอดคล้องกับเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio Circular Green คือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อตอบโจทย์การนำความเข้มแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของไทยมาเป็นฐานในการทำธุรกิจเพื่อสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศต่อไป

ปัจจุบัน อินโนสเปซมีทุนจดทะเบียน 735 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้น 16 บริษัทชั้นนำของไทย และมีการลงทุนในสตาร์ตอัพไปแล้ว 14 แห่ง 

×

Share

ผู้เขียน