Share on
×

Share

“ศุภวุฒิ” ชี้ทางรอดเศรษฐกิจไทยปี 2025 ธปท. ต้องลดดอกเบี้ย คาด จีดีพีไทยโต 3%

สภาพัฒน์ฯ-เคทีซีประเมินเศรษฐกิจไทย 2025 มีโอกาสโตท่ามกลางความท้าทาย ชี้ธุรกิจอาหาร-ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นธุรกิจที่สดใส เชื่อธปท.เลี่ยงยากที่ต้องลดดอกเบี้ยครึ่งปีหลัง มองเศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอ จับตานโยบายทรัมป์เร่งอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ

ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2025 ว่า จีดีพีไทยจะโตประมาณ 3% ซึ่งเขาประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เร่งการใช้งบลงทุน การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการขยายตัวของการส่งออก

“แต่ผมไม่มั่นใจโมเมนตัมในช่วงครึ่งปีหลังว่าแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตจะอยู่ที่ไหน และต้องดูว่านโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเริ่มมาบีบไทยหรือยัง เพราะหลักการดำเนินนโยบายของทรัมป์คือ ต้องตอบแทนซึ่งกันและกัน” ดร.ศุภวุฒิ กล่าวบนเวทีเสวนา KTC FIT Talk 13 “โฟกัสเศรษฐกิจปี 2568: โอกาสและความท้าทาย” ซึ่งจัดขึ้นโดย เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  

ดร. ศุภวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น ในครึ่งปีหลังของปี 2025 รัฐบาลก็ต้องเริ่มรู้ว่านโยบายการคลังมีข้อจำกัดและต้องเริ่มลดการขาดดุลงบประมาณลง เชื่อว่าเราจะเห็นการถอยหรือการลดบทบาทของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง และดันนโยบายการเงินมาเป็นกองหน้าเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนคือมีการลดดอกเบี้ย ไม่เช่นนั้นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจอาจสะดุดได้

คาด ธปท. ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.5%

“ประเด็นสุดท้ายคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเห็นภาพว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่ต่อเนื่องแล้วจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ ผมพูดมาตลอดว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างกระท่อนกระแท่นมาก นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป คณะกรรมการนโยบายการเงินก็ไม่เห็นด้วย ผมคิดว่ากลางปีหน้าคงยอมจำนนด้วยหลักฐานทางเศรษฐกิจว่าต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าน่าจะลดลงเหลือ 1.5%” ดร. ศุภวุฒิกล่าว

ตลาดคาดการณ์ว่าธปท. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2025 เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงจะส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ และธนาคารพาณิชย์เองก็คงจะต้องใช้เวลากับการแก้หนี้เสียที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้น แนวโน้มของการลดลงของสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt deleveraging) ก็จะยังดำเนินต่อไปในปีหน้า

“หากธปท. ผ่อนคลายนโยบายการเงินเชื่องช้าเกินไป ผลที่จะตามมาคือ กำลังซื้อในประเทศจะไม่แข็งแรงและเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีกได้” ดร. ศุภวุฒิกล่าว

ธุรกิจอาหาร-ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสดใส

ดร. ศุภวุฒิ ให้ทัศนะว่า ธุรกิจในประเทศไทยที่ยังมีโอกาสเติบโตในปี 2025 คือ อาหารซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยและเป็นจุดอ่อนของจีนซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าอาหารมากขึ้นทุกปี เพราะพื้นที่เพาะปลูกไม่เพียงพอกับจำนวนประชากร ทำให้ขาดแคลนอาหารอย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของไทยคือเราเป็นเพียงคนแปรรูปอาหารแต่ไม่ใช่ผู้ผลิต

สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนั้น นักลงทุนประเมินมูลค่าหุ้น หรือ P/E หุ้นโรงพยาบาลมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ขายบริการให้ต่างชาติ

ดร. ศุภวุฒิ เสนอแนะว่า สำหรับปีหน้านั้น ปัจจัยที่รัฐบาลน่าจะช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจคือ พยายามลดทอนกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจเพื่อให้เขาทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ช่วยเหลือหรือปรับโครงสร้าง SME และควรมีความชัดเจนว่าจะจัดการนโยบายพลังงานอย่างไรเพราะพลังงานเป็นพื้นฐานของความสามารถของการแข่งขัน

“คำถามคือวันนี้ไทยจะเลือกแนวทางไหนระหว่าง ร่วมขุดเจาะแก๊สธรรมชาติกับกัมพูชา หรือเร่งทำเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์หรือสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รัฐบาลจะดำเนินนโยบายพลังงานอย่างปัจจุบันไม่ได้อีกต่อไปที่ไปควักเนื้ออุดหนุนดีเซลและพยายามกดราคาค่าไฟฟ้า” ดร. ศุภวุฒิตั้งคำถาม

แนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2025 โดยรวมยังอ่อนแอ

ส่วนมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025 นั้น ดร. ศุภวุฒิ กล่าวว่า ยังมีความท้าทายเมื่อมองไปที่ประเทศ 3 กลุ่มหลักจะเห็นว่าเศรษฐกิจรวมไม่แข็งแรง  

กลุ่มแรก คือสหรัฐอเมริกาที่นับว่าเป็นข่าวดี เพราะจีดีพีโตเร็วกว่าเกณฑ์ปกติ อัตราว่างงานต่ำ เงินเฟ้อปรับตัวลง นโยบายการเงินยังอยู่ในทิศทางที่ผ่อนคลายต่อไป ก็จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้มีแนวโน้มที่ดี แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่อทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งทางการแล้วจะทำให้เศรษฐกิจเป็นอย่างไร

กลุ่มที่ 2 คือเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งดูไม่ค่อยดี แม้อัตราเงินเฟ้อจะลดลง ธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ยลง แต่ปัญหาคือจีดีพีโตน้อยมาก นอกจากนี้ 2 ประเทศหลักคือฝรั่งเศสและเยอรมันก็ประสบปัญหาการเมือง ฝรั่งเศสต้องหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนนายกรัฐมนตรีเยอรมันถูกปลดเพราะแพ้คะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจ และต้องมีเลือกตั้งใหม่

กลุ่มที่ 3 คือจีน ที่อัตราเงินเฟ้อต่ำมากจนเข้าภาวะเงินฝืด จนทำให้เกิดปัญหาผลิตสินค้าราคาถูกลงเรื่อยๆ และดันออกไปขายต่างประเทศเพราะกำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ

เขายังแสดงความกังวลว่า โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปลายปีหน้าจะสูงมีไม่น้อยหากทรัมป์ดำเนินนโยบาย 4 ข้อซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวตัวเร่งอัตราเงินเฟ้อสำเร็จ นั่นคือ การต่ออายุการลดภาษีซึ่งเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ  การเนรเทศคนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศจะทำให้แรงงานขาดแคลนในสหรัฐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การขุดเจาะน้ำมัน และการเก็บภาษีศุลกากรซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

เชื่อสหรัฐฯจัดการจีนแน่

ส่วนนโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อประเทศในอาเซียนและประเทศไทยอย่างไรนั้น ดร. ศุภวุฒิมองว่าเขาอ่านสัญญาณจากเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ แล้วคิดว่าจะมีการจัดการกับจีนแน่นอน เพราะในการให้ถ้อยแถลงต่อรัฐสภา เกรียร์ใช้คำว่าจีนเป็นตัวคุกคาม และยังระบุว่าสินค้าจีนที่ส่งมาประกอบในประเทศที่ 3 ถ้ามีชิ้นส่วนของจีนแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ให้ตีความว่าเป็นสินค้าของจีนและจัดการเก็บภาษี

“เพราะฉะนั้นไทยต้องคำนึงถึงประเด็นนี้ให้มาก เพราะสหรัฐกำลังเพ่งเล็งประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ เช่น เวียดนามซึ่งเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ถึงแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ แค่ 4 หมื่นล้านเหรียญ” ดร.ศุภวุฒิกล่าว

เคทีซี คาดอุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสโต

ด้านอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ ผู้อำนวยการ – การเงิน “เคทีซี” คาดการณ์ว่า ภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในปี 2025 คือ  ชธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม บริการสุขภาพที่ได้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ และสถาบันการเงินที่มีการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินและปรับตัวสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลก ควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคมีโอกาสเติบโตจากเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ซึ่งเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้มากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม รวมถึงการปรับตัวต่อกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันจากผู้ให้บริการเดิมและผู้เล่นใหม่ โดยเคทีซีพร้อมที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย

“ถ้ามีการลดดอกเบี้ยก็จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน และถ้าเศรษฐกิจยังพอไปได้ ความมั่นใจผู้บริโภคกลับมา ก็จะช่วยให้อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคกลับมาเติบโตได้” อภิเชษฐ์กล่าว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

แอนท์ อินเตอร์ เผยผลการดำเนินงานปี 2024 ยอดธุรกรรมข้ามพรมแดนผ่าน Alipay+ โต 3 เท่า

“สิทธิเดช มัยลาภ” สยายปีก “Sky ICT” จาก System Integrator สู่ Global Tech Company ด้าน Aviation

×

Share

ผู้เขียน