Web 3.0 และ AI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสตาร์ตอัพลดต้นทุนและสร้างโอกาสใหม่ (The Next Wave of Startup AI and Web 3.0) ในช่วงแรกของการเปิดบริษัท สตาร์ตอัพจะต้องเผชิญกับแรงกดดันและความเครียดสูง เนื่องจากการบริหารธุรกิจในสภาพที่มีทรัพยากรจำกัด ต่างจากองค์กรใหญ่ที่มีเงินทุนและความมั่นคงมากกว่า การบริหารค่าใช้จ่ายและการมองหาโอกาสในทุกช่วงเวลามีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจในรูปแบบนี้
รู้หรือไม่? Web 3.0 เป็นยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ตที่สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆเช่น Machine Learning (ML), Big Data, AI และ Blockchain ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้อย่างต่อเนื่อง
มุมมองการใช้เทคโนโลยีการเงิน (Financial Technology)
สำเร็จ วจนะเสถียร CTO, Bitkub Blockchain Technology กล่าวว่า ปัจจุบันการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซีมาปรับใช้ในธุรกิจสตาร์ทอัพ กำลังกลายเป็นโอกาสสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ตัวอย่างเช่น การพรีออเดอร์สินค้า การใช้ NFTs เพื่อยืนยันความเป็นของแท้ หรือการทำธุรกรรมผ่าน Exchange แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยลดต้นทุนและเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การรับชำระเงินด้วยคริปโตควรผ่านระบบที่ได้รับการรับรองเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายในอนาคต ทั้งนี้ การนำ NFTs มาใช้ในการโปรโมตสินค้า ไม่เพียงช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเสริมภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นการเตรียมตัวและการเรียนรู้ที่จะปรับตัวไปกับเทคโนโลยีเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
บล็อกเชนและโอกาสในธุรกิจ
ปัจจุบันหลายคนยังมอง Cryptocurrency กับ Blockchain เป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่ เนื่องจากมีความกังวลว่าเงินจะศูนย์หาย หรือข้อมูลทุกอย่างจะถูกเปิดเผยทั้งหมด ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่คิด บล็อกเชนมีความปลอดภัยสูงและสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในระบบการเงินได้ คงต้องยอมรับว่าความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ยังไม่ได้แพร่หลาย ผู้คนยังติดภาพจำรูปแบบเดิม ๆ อยู่
ทั้งนี้ AI ถือเป็นอีกเทคโนโลยีที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะในธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ หลายบริษัทใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดหรือทำงานอัตโนมัติ ช่วยให้สามารถการทำโปรเจกต์ต่าง ๆ เสร็จเร็วขึ้น และที่สำคัญคือช่วยประหยัดต้นทุน หากบริษัทไหนยังใช้วิธีการแบบเดิม เช่น จ้างพนักงานทำทุกอย่างเองโดยไม่ได้ใช้เทคโนโลยีช่วย คาดการณ์ว่าต้นทุนจะบานปลายโดยไม่รู้ตัว
“ผมอยากจะบอกว่า เทคโนโลยีเหล่านี้มันช่วยเราได้จริงๆ ถ้าเราเข้าใจและใช้มันอย่างถูกวิธี เราก็สามารถลดต้นทุน เพิ่มความได้เปรียบ และเปิดโอกาสให้ธุรกิจของเราเติบโตไปในระดับที่ไกลกว่าที่คิดไว้ได้” สำเร็จ กล่าว
ประสบการณ์การใช้งานบัตรและเทคโนโลยีการเงิน (FinTech)
มุมมองของการใช้ Cryptocurrency Wallets และการทำธุรกรรมในต่างประเทศ เช่น ค่าธรรมเนียมที่สูงจากการใช้บัตร ATM ในต่างประเทศ การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ ๆ บัตรที่เชื่อมต่อกับวอลเล็ตคริปโท อาจเป็นวิธีที่สะดวกและคุ้มค่ามากขึ้น อย่างบัตรทราเวลการ์ด ที่มีฟังก์ชันช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงคริปโทเป็นเงินสดหรือเติมเงินในบัตรเพื่อใช้งานได้ทั่วโลก แม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย เช่น 2-5% ขึ้นอยู่กับการใช้งานในประเทศหรือระหว่างประเทศ แต่ก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่ใช้คริปโทในการทำธุรกรรม นอกจากนี้ บัตรดังกล่าวยังมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น MasterCard ซึ่งทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างแพร่หลาย
ธุรกิจสตาร์ตอัพ การสร้างโอกาสในตลาดการเงินสมัยใหม่การใช้วอลเล็ตและบัตรที่เชื่อมต่อกับคริปโท ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ทั่วโลกอย่างสะดวก ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมและความผันผวนของราคาอาจเกิดขึ้น แต่หากผู้ประกอบการสามารถเข้าใจและวางแผนการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะสามารถใช้มันเป็นโอกาสในการเติบโต และสร้างความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มุมมอง AI และการเปลี่ยนแปลงในโมเดลธุรกิจ
สถาพน พัฒนะคูหา CEO, Guardian AI เล่าว่า ทุกวันนี้ สตาร์ตอัพต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ทั้งการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นและต้นทุนที่แพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าการตลาด การจ้างคน หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI ก็เปิดโอกาสให้ทำอะไรได้ง่ายขึ้นมาก เช่น การใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดหรือทำระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนไปได้มาก
สิ่งสำคัญคือต้องมองหาโอกาสจากความท้าทายเหล่านี้ และปรับตัวด้วยนวัตกรรม เช่น การนำเรื่อง Green Innovation เข้ามาเป็นจุดขาย ไม่ใช่แค่สร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ยังช่วยให้เราได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว โดยมองว่าเป็นโอกาสสำคัญของสตาร์ตอัพในยุคนี้ หากปรับตัวได้ก็จะรอด และไม่ใช่แค่รอด แต่ยังเติบโตได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วแบบนี้ได้
บทบาทของ AI สู่การพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัพ แบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก
- การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ (Product Innovation)
AI สามารถช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการมีความเฉพาะตัวมากขึ้น (Personalization) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลและแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) อย่างละเอียดถึงระดับบุคคล ทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เช่น การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) ให้มีคุณภาพสูงขึ้น หรือการสร้างจุดเชื่อมที่ฉลาดและน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม
- การพัฒนาโมเดลธุรกิจ (Business Model Reinvention)
การใช้ AI สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจเดิม ๆ ไปสู่รูปแบบใหม่ เช่นการนำโทเคน (Token) หรือ NFT มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบธุรกิจ เพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentives) หรือเป็นหน่วยแลกเปลี่ยนภายในผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และขยายตลาดสู่ระดับสากล โมเดลเหล่านี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างบริการที่ตอบสนองลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและน่าสนใจยิ่งขึ้น
- การสนับสนุนการดำเนินงาน (Operational Optimization)
AI สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการภายใน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ หรือการสร้างระบบอัตโนมัติที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากนี้ ยังสามารถเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ตลาดในปัจจุบันได้อย่างยืดหยุ่น
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี เช่น AI, Web 3.0 และบล็อกเชนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ธุรกิจที่ยังไม่ได้เริ่มใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ควรทดลองปรับใช้ในธุรกิจ โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือการใช้บล็อกเชนในการทำธุรกรรม เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการต่าง ๆ
หมายเหตุ: ข้อมูลจากงานแถลง Startup ต้องรอด “เพราะทำ Startup จึงเจ็บปวด” Section: The Next Wave of Startup AI and Web 3.0