จากความตื่นตัวของการใช้งาน AI และ Data Center ได้ปลุกความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจของ “บ้านปู” ส่วนครึ่งปีหลังมีทิศทางธุรกิจที่มั่นคงและดีขึ้น จากหนุนหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งการฟื้นตัวของราคาพลังงาน การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และโอกาสจากธุรกิจใหม่ ๆ
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) บอกว่า บ้านปูเล็งเห็นถึงศักยภาพมหาศาลของ AI และ Data Center ในฐานะธุรกิจใหม่ที่ใช้พลังงานมากที่สุดในโลกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะ Texas สหรัฐอเมริกา Data Center มีอัตราการใช้พลังงานเติบโตสูงที่สุดในตลาดไฟฟ้า ERCOT
จากการเติบโตของ Data Center ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เป็นประโยชน์ต่อบ้านปูที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของทรัพยากรและพลังงาน ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนราคาพลังงาน เช่น ก๊าซและถ่านหิน
ขณะที่นโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการให้ประเทศเป็น AI Super Power จะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Data Center และทำให้พลังงานอย่าง LNG (Liquefied Natural Gas หรือก๊าซธรรมชาติเหลว) และ AI เป็น “Super Bullish”
ส่วนของประเทศไทย ที่เป็นจุดน่าสนใจสำหรับการลงทุน Data Center จากการมีปริมาณไฟฟ้าสำรอง และราคาไฟฟ้าที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งบ้านปูกำลังพิจารณาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data Center โดยจะเน้นธุรกิจรอบข้างก่อน เช่น การจัดหาพลังงานและระบบทำความเย็น บริษัทพยายามหาแนวทางที่จะจัดหาพลังงานหมุนเวียน (โซลาร์, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่) ให้แก่ Data Center
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐเกี่ยวกับการจัดหาพลังงานในส่วนที่เหลือ และการกำหนดราคา
“การลงทุนใน Data Center โดยตรงในประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ผลตอบแทนระยะยาว และการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่คุณค่าของบ้านปู ณ ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับการลงทุนใน Data Center ในประเทศไทย”
ส่วนที่สหรัฐอเมริกา บ้านปูจะไม่เน้นลงทุนใน Data Center โดยตรง แต่จะเน้นลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อป้อนพลังงานให้แก่ Data Center ในราคาที่เหมาะสม โดยปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้า Temple 1 และ Temple 2 ใน Texas และได้ลงทุนส่วนน้อย (minority stake) ใน Data Center ที่อินโดนีเซีย ซึ่งให้บริการลูกค้ารายใหญ่เช่นไมโครซอฟท์

สมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด บอกว่า กำลังหารือกับผู้เล่น Data Center ชั้นนำระดับโลก เช่น Microsoft, Amazon, Google, Meta ที่เข้ามาตั้ง Data Center ในประเทศไทย เพื่อสำรวจโอกาสในการจัดหาไฟฟ้า หรือระบบทำความเย็น ซึ่งบริษัทเหล่านี้ที่ต่างต้องการใช้พลังงานสะอาด
ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพงานในองค์กร
ส่วน AI ที่กำลังตื่นตัวกันทั่วโลกนั้น สินนท์ เล่าว่า ปัจจุบันบ้านปูได้นำมาใช้งานหลากหลายมิติ เช่น การซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) ได้นำ AI มาช่วยคาดการณ์ราคาตลาดซื้อขายพลังงาน โดยเริ่มที่ญี่ปุ่นก่อน และมีแผนจะขยายผลไปยังออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาในอนาคต ซึ่ง AI ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้นและสร้างกำไรได้มากกว่าการใช้คนตัดสินใจ
นอกจากนั้น ยังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในธุรกิจเหมืองและแหล่งก๊าซธรรมชาติ เช่น การตรวจสอบแรงกดดันของบ่อก๊าซ การบริหารทรัพยากรบุคคล ใช้ AI เพื่อระบุและจัดหมวดหมู่ศักยภาพของพนักงานในองค์กร การลดการใช้พลังงานของ Data Center นั้น ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานของบ้านปูกำลังศึกษาว่า AI จะช่วยลดการใช้พลังงานของ Data Center ได้อย่างไร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสในอนาคต
ขณะเดียวกัน บ้านปูยังมีแผนก Digitalization ภายในที่กำลังพัฒนา AI เพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจของตัวเอง และยังมองหาการจัดหา AI จากภายนอกด้วย การดำเนินงานเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับพอร์ตสู่ความยั่งยืน และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว
สมิทธิพรเล่าถึง AI ว่า AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าใหม่ ๆ ในประเทศญี่ปุ่น ได้ลงทุนผ่าน Corporate CVC ในบริษัท Elia ซึ่งใช้ AI ในการบริหารจัดการการชาร์จ และดิสชาร์จแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage – BESS) ในตลาดยุโรป
ครึ่งปีหลังมั่นคง-ทิศทางดีขึ้น
สินนท์ยังมองแนวโน้มธุรกิจของบ้านปูในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะมั่นคงและมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการรับแรงหนุนหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งการฟื้นตัวของราคาพลังงาน การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และโอกาสจากธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Data Center
ทั้งนี้ ผลผลิตในทุกกลุ่มธุรกิจคาดว่าจะยังคงมั่นคงตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่การลดต้นทุนที่ดำเนินการไปแล้วในครึ่งปีแรกจะยังคงส่งผลดีต่อเนื่อง และอาจลดลงอีกเล็กน้อย ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือราคาถ่านหินเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 3 โดยกลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน และคาดว่าราคาขายเฉลี่ยในครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากความต้องการ LNG
ดังนั้น แม้ครึ่งปีแรกจะขาดทุนสุทธิส่วนหนึ่งจากการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศที่ไม่ใช่เงินสด (unrealized FX loss) แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่ง และคาดว่าในครึ่งปีหลังมีโอกาสที่บ้านปูจะกลับมามีกำไรสุทธิได้ เนื่องจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่กล่าวมา
ความต้องการใช้ไฟยังแข็งแกร่ง
แนวโน้มในครึ่งปีหลัง สามารถลงรายละเอียดแต่ละธุรกิจได้ว่า ธุรกิจถ่านหิน ในแง่การผลิตและการขาย ยังคงเป้าหมายการผลิตถ่านหินที่ประมาณ 42.8-43 ล้านตันสำหรับทั้งปี และคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายในครึ่งปีหลัง และทีมบริหารยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญในอินโดนีเซีย ที่ 6-7 เหรียญ/ตัน และออสเตรเลีย 14 เหรียญออสซี่/ตัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรเมื่อราคาถ่านหินปรับตัวขึ้น และมีปัจจัยหนุนจากความร้อนที่รุนแรงในหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และแม้กระทั่งยุโรปในไตรมาส 3 ได้เพิ่มความต้องการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ ภาครัฐในอินโดนีเซียและออสเตรเลียก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการจำกัดอุปทานเพื่อหนุนราคา
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ BKV ในสหรัฐอเมริกา ตลาดยังคงเติบโต โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการ LNG ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปถึงปี 2026 จากโรงงาน LNG ใหม่ ๆ ที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ปริมาณก๊าซสำรองที่ลดลงก็คาดว่าจะหนุนราคาได้ดีขึ้น อีกทั้ง บริษัทได้บริหารความเสี่ยง โดยการล็อกราคา (hedging) ล่วงหน้าไว้แล้วประมาณ 60-70% สำหรับครึ่งปีหลังของปีนี้ และ 50-60% สำหรับปีหน้าในระดับราคาที่เหมาะสม เพื่อสร้างเสถียรภาพแก่กระแสเงินสด
ส่วนธุรกิจ CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ยังคงเดินหน้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการอนุมัติกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” (O3BA) ที่ช่วยคงเครดิตภาษี 45Q และยกเลิกข้อจำกัดในการโอนสิทธิ์ทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตมีความเชื่อมั่นและสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโครงการ CCUS ของบ้านปู
ด้านธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปู เพาเวอร์ แม้หน้าร้อนปีนี้ในเท็กซัสจะไม่รุนแรงนัก แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังคงแข็งแกร่ง ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (HPC ในลาว) และโรงไฟฟ้าในจีน (BPP, PHP) ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง และบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า PHP ในจีนที่สามารถทำกำไรได้แม้ในไตรมาสที่เคยขาดทุน
ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) มองว่าเป็นอนาคตของธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า โดยมีโครงการที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในญี่ปุ่น และโครงการขนาดใหญ่ในออสเตรเลียที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในครึ่งหลังของปี 2027
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไปรษณีย์ไทย 142 ปี ก้าวสู่ ‘Information Logistics Hub’
AI ‘เพื่อนคู่คิด’ หรือความท้าทาย? Gen Z เรียกร้อง ‘จริยธรรม-การกำกับดูแลโดยมนุษย์’