ท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก และแพลตฟอร์มส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ คำถามสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญคือ เราจะวางตำแหน่งตัวเองไว้ที่จุดไหน? จะเป็นเพียง “ผู้ใช้” ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอก หรือจะก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้สร้าง” ที่มีอำนาจในการกำหนดอนาคตดิจิทัลของตนเอง
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่สะท้อนออกมาอย่างทรงพลังใน งานสัมมนา AI for Thai ประจำปี 2568 ในหัวข้อ Thai AI Service Platform “พลังแห่งนวัตกรรม เพื่ออนาคตไทย” ซึ่งได้มีเผยทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการสร้าง “อธิปไตยทาง AI (AI Sovereignty)” ให้เกิดขึ้นจริง
AI Service Platform : กุญแจสู่ AI Sovereignty
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ทุกวันนี้ข้อมูลของคนไทยไหลออกนอกประเทศในทุกวินาที นำไปสู่ปัญหาหลายระดับ ตั้งแต่การถูกหลอกลวง ไปจนถึงการที่ข้อมูลของคนไทยถูกนำไปพัฒนาเป็นเครื่องมือ AI แล้วกลับมาขายให้คนไทยในราคาที่ไม่สามารถควบคุมได้
“เราไม่ได้อยากจะตัดขาดจากนวัตกรรมดี ๆ ของโลก แต่เราต้องการควบคุมมันได้ ทั้งในแง่ราคาและความปลอดภัย การมี AI Service Platform ของตัวเอง คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรามีอำนาจในการควบคุมเทคโนโลยี ไม่ใช่ถูกควบคุมโดยเทคโนโลยี” ดร.ชัย กล่าว
ปัจจุบันไทยถูกจัดอันดับความพร้อมด้าน AI อยู่ที่ 35 ของโลก โดยมีจุดอ่อนสำคัญคือ ไทยไม่ค่อยพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และมีข้อมูลมหาศาลแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งสอดคล้องกับแผน AI แห่งชาติที่มุ่งสร้างความพร้อม (Readiness) ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนากำลังคน (Manpower), โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure), และ ธรรมาภิบาล (Governance)เพื่อนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศต่อไป
สรุปผลงาน และ ก้าวต่อไปของ AI for Thai

ต่อเนื่องจากภาพใหญ่เชิงยุทธศาสตร์ ดร.กริช นาสิงห์ขันธุ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าวว่า แพลตฟอร์ม AI for Thai กำเนิดขึ้นในปี 2562 (ค.ศ. 2019) เพื่อทลายกำแพงของกระบวนการที่ล่าช้าในการนำเทคโนโลยีจากห้องปฏิบัติการที่สั่งสมมากว่า 20 ปีของ NECTEC ไปสู่การใช้งานจริง
หัวใจของแพลตฟอร์มคือการเป็นคลังบริการ AI สำเร็จรูป (Pre-trained Model) ที่พร้อมใช้งานผ่านระบบ API โดยมีจุดแข็งที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจในบริบทของภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง “AI ต่างชาติอาจมองเห็น ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือ’ เป็นเพียง ‘noodles’ แต่ AI ของเราสามารถแยกแยะได้ถึงชนิดของก๋วยเตี๋ยว”
ปัจจุบันแพลตฟอร์มมีบริการ AI ให้เลือกใช้ถึง 78 บริการ จากทั้ง NECTEC และพันธมิตรเอกชน มีนักพัฒนาลงทะเบียนในระบบกว่า 24,000 คน และมีการเรียกใช้งานสะสมกว่า 120 ล้านครั้ง โดยเปิดให้ใช้งานฟรีในโควต้าที่เพียงพอต่อการทำต้นแบบ (Proof of Concept) เพื่อลดกำแพงและต้นทุนให้กับสตาร์ตอัพไทย
ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมได้ถูกนำไปใช้งานจริงและสร้างผลกระทบในวงกว้างแล้วมากมาย ตั้งแต่การเป็นเบื้องหลังแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ที่ใช้จำแนกประเภทปัญหาร้องเรียนของประชาชน เทคโนโลยี Speech-to-Text ที่ช่วยถอดเสียงการประชุมในรัฐสภา บริการ Vaja (Text-to-Speech) ในระบบเรียกคิวของโรงพยาบาลกว่า 70 แห่ง ไปจนถึง Doc Chat ที่ช่วยวิเคราะห์เอกสารทุนวิจัยให้แก่วช.
นอกจากนี้ NECTEC ยังทุ่มเทสร้างระบบนิเวศให้เติบโตอย่างครบวงจร ผ่านการจัด Workshop (อบรมแล้วกว่า 2,800 คน) Hackathon ที่สร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ และ National Benchmark Program ที่เป็นเวทีแข่งขันเพื่อสร้างมาตรฐานความเป็นเลิศด้าน AI ของประเทศ
สู่ AI for Thai 2.0 และอนาคตของชาติ
ในอนาคตอันใกล้ NECTEC เตรียมเปิดตัว AI for Thai เวอร์ชัน 2.0 ที่จะยกระดับแพลตฟอร์มไปอีกขั้น โดยจะเพิ่มบริการในโดเมนเฉพาะทางมากขึ้น และที่สำคัญคือการเพิ่มโมเดลธุรกิจแบบ Pay-per-use เพื่อรองรับการขยายผลในเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน
“เราเคยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่พอมาถึงยุคอินเทอร์เน็ต E-commerce หรือสตรีมมิง เรากลายเป็นผู้ใช้เป็นหลัก คำถามคือ สำหรับ AI เราจะเอายังไง? เราจะปล่อยให้มันเป็นเหมือนเดิม หรือเราจะลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ของโลก… ขอเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนเถอะ อย่าเป็นส่วนหนึ่งของ User Chain เลย” ดร.ชัย กล่าว
การเดินทางของ AI for Thai จึงเป็นมากกว่าแค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่คือภารกิจสำคัญในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดบนเวทีโลกดิจิทัลได้อย่างสง่างาม และมี “อธิปไตยทาง AI” เป็นของตนเองอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
NIA ทุ่ม 4 พันล้านตั้งกองทุน ‘NIA Venture’ ปั้นสตาร์ตอัพชูโรง Medical Hub – Defense Tech
กลยุทธ์ O2O: กรณีศึกษา McCormick ปั้นแบรนด์เครื่องเทศในโลก E-commerce