Share on
×

Share

กลุ่ม SAMART เล็งลุยธุรกิจใหม่ “พลังงานสะอาด-สิ่งแวดล้อม” รับเทรนด์ความยั่งยืน

เริ่มต้นปีใหม่ ภาคธุรกิจต่างก็มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของตัวเอง บางแห่งก็เน้นการรักษาการเติบโตในธุรกิจเดิม แต่หลายแห่งก็จับเทรนด์แล้วแตกไลน์สายธุรกิจใหม่ ๆ ดังเช่นที่กลุ่ม SAMART บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านสื่อสารและเทคโนโลยีมายาวนานกว่าหลายทศวรรษ ล่าสุดประกาศรุกสายธุรกิจใหม่ ดัน “เทด้า” ที่เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ศึกษาธุรกิจพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมเพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2025 ไว้ที่ 13,500 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2024

2025 ปีแห่งการ Reinvention

วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SAMART ในปี 2025 ว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเข้าสู่ยุค Digital อย่างเต็มรูปแบบ มีการรุกไปในธุรกิจใหม่และรักษาการเติบโตในธุรกิจเดิม สร้างรายได้ผ่านโมเดลธุรกิจ B2G2C มากขึ้นด้วยการศึกษาความต้องการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาด้านการให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แล้วเข้าไปลงทุนพัฒนาและติดตั้งระบบให้ก่อน

“ปีนี้จะเป็นปีทองของกลุ่ม SAMART ในรอบ 10 ปี เราจึงกำหนด Year Theme หรือจุดมุ่งเน้นทางธุรกิจในปีนี้ว่า ‘ปีแห่งการพลิกโฉมธุรกิจ สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน’ หรือ Year of Reinvention โดยจะใช้ Diversity & Unity เป็นกลยุทธ์สำคัญในการปรับเปลี่ยน เสริมแกร่งและสร้างโอกาสสู่ความยั่งยืน โดย Unity จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วน Diversity คือการสร้างพอร์ตในหลากหลายธุรกิจ เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงและสร้างโอกาสทางธุรกิจ” วัฒน์ชัยกล่าว

SAMART-Year-of-Reinvention

วัฒน์ชัยคาดการณ์ว่า ปี 2025 กลุ่มจะมีรายได้รวมไว้ที่ 13,500 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2024 โดยพุ่งเป้าในการสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งด้วยการเพิ่มรายได้ประจำขึ้นประมาณ 25% โดยเชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดของกลุ่ม SAMART ในรอบ 10 ปีทั้งการรุกไปในธุรกิจใหม่และรักษาการเติบโตในธุรกิจเดิม

ปั้นธุรกิจใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม

ในการแถลงกลยุทธ์ครั้งนี้ วัฒน์ชัยได้ประกาศแผนการต่อยอดและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ผ่านบริษัท เทด้า จำกัด ที่กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจพลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานสะอาด โซลาร์รูฟท็อปและ คาร์บอนเครดิต โดยอาจจะเป็นการเจรจาเข้าซื้อกิจการบริษัทที่ทำอยู่แล้วหรือร่วมลงทุน

“ยังบอกไม่ได้ว่าจะลงทุนรูปแบบไหน ตอนนี้เรามองแค่ในกลุ่มเราเองก่อน โดยจัดกลุ่มพลังงานมาอยู่ด้วยกัน และดูเรื่องพลังงานสะอาด ตอนนี้เราเริ่มทำแล้วจากสเกลเล็ก ๆ คือขายโซลาร์เซลล์ ให้โรงเรียน  ส่วนเรื่องการจัดการขยะก็กำลังพิจารณาอยู่ คิดว่าปีนี้คงเห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจนขึ้น ที่ผมนำมาพูดตรงนี้เพื่อให้เห็นความตั้งใจในการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่ทำแต่เทคโนโลยีอย่างเดียว” วัฒน์ชัยกล่าว

ด้านรัฐนันท์ วิไลลักษณ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ เล่าให้ The Story Thailand ฟังถึงความคิดริเริ่มของการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ครั้งนี้ว่า “เราอยากจะ Diversify ธุรกิจมาด้านพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเพราะทั้ง 2 ประเด็นนี้เป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่ในอนาคตต้องมาอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคนก็จะอยู่บนโลกได้ไม่นาน

ตอนนี้ในเครือเรามี บ.เทด้า ที่อยู่ภายใต้สายธุรกิจบริการสาธารณูปโภคที่ให้บริการด้านพลังงานอยู่แล้ว ซึ่งปี 2024 มีการเซ็นสัญญาขายโซลาร์เซลล์กับโรงเรียน 10 แห่งในชนบทที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ตอนนี้เราเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ก่อน ในอนาคตเราอาจขยายไปทำกับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ โรงพยาบาลหรือ สถานีตำรวจ”

เล็งขายคาร์บอนเครดิต เน้นลูกค้าต่างประเทศ

ในอนาคตอาจขยายไปถึงธุรกิจการขายคาร์บอน เครดิตด้วย ซึ่งรัฐนันท์มองถึงข้อได้เปรียบของบริษัทที่มีที่ดินเป็นของตัวเองราว 1,000 กว่าไร่ทั่วประเทศ  เพราะจากที่ไปศึกษามา คนที่ทำธุรกิจนี้แล้วมีรายได้เติบโตคือ มีที่ดินเป็นของตัวเอง เช่น ทำโรงงานกระดาษ ต้องปลูกต้นยูคาลิปตัส แทนที่จะปลูกแล้วตัดทิ้งก็นำมาทำคาร์บอน เครดิต ถือเป็นรายได้เสริมเข้ามาให้รายได้เดิม แต่ถ้าอยู่ดี ๆ จะไปทำธุรกิจขายคาร์บอนเครดิตเดี่ยว ๆ โอกาสที่จะได้กำไรที่ดีถือว่ายาก

นอกจากนี้ ธุรกิจขายคาร์บอน เครดิตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการสร้างรายได้ให้เติบโตในไทยอย่างที่มีการสร้างกระแสกัน เพราะราคาขายในไทยถูกมากคือเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อเทียบกับต่างประเทศ เช่น ที่สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ขายกันที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน

“เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ของเราคือต้องหาลูกค้าต่างประเทศ เพราะขายได้ราคาดีกว่า คนที่ทำกำไรได้ดีคือคนที่ไปขายในต่างประเทศ” รัฐนันท์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพราะต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายค่าไฟฟ้าของรัฐบาลด้วยหลังจากที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีประกาศจะลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยจาก 4.15 บาทในปัจจุบัน ซึ่งเราต้องดูผลกระทบหลายอย่าง และต้องรอดูผลการดำเนินงานที่เซ็นสัญญาไปกับโรงเรียนต่าง ๆ ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ

SAMART-Year-of-Reinvention-graphic customer

กลยุทธ์และเป้าหมายของ 3 กลุ่มธุรกิจ

กลุ่มบริษัทสามารถแบ่งสายธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

  1. สายธุรกิจสื่อสารไอทีและโทรคมนาคมครบวงจร (Digital ICT Solution)
  2. สายธุรกิจการสื่อสารข้อมูล ด้านดิจิตอลเทคโนโลยี (Digital Communications)
  3. สายธุรกิจบริการสาธารณูปโภค (Utilities & Transportations )

สายธุรกิจ Digital ICT Solutions

กลุ่มนี้นำโดย บมจ.สามารถเทลคอม ซึ่งกลยุทธ์ในปี 2025 จะมุ่งแสวงหาฐานลูกค้าและพันธมิตรใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมลดความเสี่ยงจากปัจจัยรอบด้าน มุ่งเน้นการสร้างโครงการใหญ่ เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดภาระด้านงบประมาณ ด้วยรูปแบบ Outsource Services สร้างรายได้ประจำระยะยาว เพื่อความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจ โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2025 อยู่ที่ 6,500 ล้านบาท มั่นใจว่าปีนี้สายธุรกิจ ICT จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% ด้วยโอกาสจากหลายโครงการที่เลื่อนมาจากปีที่แล้ว ประกอบกับโครงการใหม่จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ จากภาครัฐ รวมถึงนโยบายบูรณาการด้านเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดการให้บริการด้านต่าง ๆ คาดว่าในปีนี้จะมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะเข้าร่วมประมูล ทั้งโครงการรูปแบบ Outsource Services ขนาดใหญ่หลักหมื่นล้านบาท รวมถึงโครงการเป้าหมาย มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ภายใต้การดำเนินงานของ 3 สายธุรกิจ คือ สายธุรกิจ Network Solutions  สาย Enhanced Technology Solutions และ สาย Business Applications

สายธุรกิจ Utilities & Transportations

กลุ่มนี้นำโดย บมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่น ตั้งเป้ารายได้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9% ด้วยโอกาสทางธุรกิจหลายด้าน โดยเฉพาะ บมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่น ผู้ให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชาภายใต้ CATS คาดว่ารายได้จะเติบโตกว่า 8% ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจการบินเริ่มขยายตัวเต็มที่หลังวิกฤตโควิด รัฐบาลกัมพูชามีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยช่วงปลายปี 2024 ได้มีการเปิดให้บริการสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ดาราสาคร ที่เกาะกง และภายในปีนี้จะมีการเปิดสนามบินนานาชาติพนมเปญแห่งใหม่ คาดว่าปีนี้จำนวนผู้โดยสารอาจมีมากถึง 7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเที่ยวบินโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 แสนเที่ยวบิน ซึ่งจะส่งผลให้ SAV มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นบวกอย่างโดดเด่นในปีนี้

ธุรกิจด้าน Power Construction & Services  โดยบริษัทเทด้าและทรานเส็ค มีแผนรุกเข้าสู่การให้บริการ upgrade สถานีไฟฟ้าแบบเดิมให้เป็น Digital Substation ด้วย โดยมีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆในปีนี้กว่า 3,000 ล้านบาท  ส่วนโครงการ Direct Coding มีแผนที่จะขยายฐานธุรกิจบริการระบบพิมพ์รหัสควบคุมบนบรรจุภัณฑ์ หรือ Direct Coding ไปสู่การจัดเก็บภาษีสินค้าอื่นๆ อาทิ ยา อาหารเสริม น้ำมัน และ Soft Drink อีกด้วย

สายธุรกิจ Digital Communications

กลุ่มนี้นำโดย บมจ.สามารถดิจิตอล ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 50% และจะเป็นปีแรกในรอบ 10 ปีที่ SDC จะหยุดการขาดทุน และกลับมามีผลการดำเนินงานเป็น “บวก” จากการวางรากฐานทางธุรกิจที่เริ่มแข็งแรง เพื่อโอกาสสร้างรายได้ประจำให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในปีต่อไป โดยเฉพาะโครงการ DTRS มีการรับรู้รายได้จากการจำหน่ายเครื่องวิทยุลูกข่ายและค่าใช้บริการ Air Time ประมาณ 800 ล้านบาท และพุ่งเป้าขยายจำนวนผู้ใช้บริการไปยังหน่วยงานผู้ให้บริการประชาชน ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ การปกครองส่วนท้องถิ่น บรรเทาสาธารณภัย และการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะมีผู้ใช้บริการ 9 หมื่นรายในปีนี้ และ 1.2 แสนราย ในปี 2026

ส่วนธุรกิจสายมูโดยบ.ลัคกี้เฮงเฮง นำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาประยุกต์ใช้กับศาสตร์สายมูเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิตอล โดยการนำเสนอบริการ AI Horo ผ่านทางพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ ใหม่ ๆ ของสายมู รวมถึงการรุกตลาดธุรกิจของบริการทำบุญของ Thai Merit อีกด้วย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SiS จับมือ Dobot บุกตลาดหุ่นยนต์โคบอท รับความต้องการในประเทศโต

‘PIN’ ลงทุน 2,100 ล้าน เปิดนิคมแห่งที่ 8 รับนักลงทุนต่างชาติย้ายฐานผลิตมาไทย

×

Share

ผู้เขียน