การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นความท้าทายสำคัญที่ธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญ บริษัทชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทยได้เริ่มใช้ GHG (Greenhouse Gas) Report หรือรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างความโปร่งใสและตอบสนองความต้องการของตลาดนักลงทุน เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลกเพราะทุกพื้นที่เริ่มให้ความสำคัญกับข้อมูล ESG (Environmental, Social, Governance) ซึ่ง GHG Report เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นนั่นเอง
ภายในงาน SET Carbon : Digital Solution for Sustainable Business มีการกล่าวถึงความท้าทายและโอกาสในการใช้งานของ GHG Report สำหรับภาคธุรกิจ รวมถึงความคืบหน้าของพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของประเทศไทยที่กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยปาริชาติ รัตนภูมิ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ, ภัสสร ขจรเกียรติคุณ บมจ. สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์, ชุติกาญจน์ ตราชู บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป และวุฒิศักดิ์ ประยูรเธียร บมจ. อินเตอร์ฟาร์มา ที่ร่วมกันเสวนาเพื่อเปิดมุมมองเกี่ยวกับกระบวนการทำงานและความท้าทายที่พบในองค์กร
GHG Report สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดได้อย่างไร
อย่างที่กล่าวไปว่าทั่วโลกไม่ได้เพียงให้ความสนใจเรื่องภาวะโลกร้อนอย่างผิวเผิน แต่มองว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ต้องเร่งแก้ไขแบบทันที จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันการสร้างก๊าซเรือนกระจกสำหรับองค์กรขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุผลที่บริษัทชั้นนำทั้งในและนอกประเทศต้องหันมาดำเนินการติดตาม Carbon Footprint ของกระบวนการสร้างสินค้าและบริการขององค์กรอย่างเคร่งครัด เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในโลกของธุรกิจ เช่น อาจเกิดมาตรการกีดกันทางการค้าหากสินค้าไม่ได้การรับรองเรื่อง Sustainable เป็นต้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จึงสนับสนุนและส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดำเนินการจัดทำ GHG Report (Greenhouse Gas Report) ผ่านแพลตฟอร์ม SET Carbon เพื่อช่วยรวบรวมข้อมูลก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบที่เป็นระบบและใช้งานได้ง่าย เพิ่มความโปร่งใส สร้างมาตรฐานการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยการสร้าง GHG Report ขึ้นมาจะเป็นการสร้างมาตรฐานการดำเนินการที่ทั่วโลกจะยอมรับ เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไปไกลทันสากล แต่ในขณะเดียวกันทุกองค์กรจะเจอกับความท้าทายที่มาพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์ความรู้ของบุคลากร ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีต่างๆ
ปาริชาติ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ กล่าวว่า บทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการจัดการและการรายงานก๊าซเรือนกระจก (GHG Report) เพื่อให้การจัดการและรายงานข้อมูลเหล่านี้มีความโปร่งใส น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างละเอียดสำหรับทุก ๆ องค์กร เพราะการก้าวไปสู่สังคมที่ตื่นตระหนักเรื่องสิ่งเเวดล้อมกันอย่างมาก การมีรายงานเป็นหลักฐานการดำเนินงานจะกลายเป็นข้อบังคับในอนาคต GHG Report จะกลายเป็นส่วนสำคัญของกลไกที่สนับสนุนความเปลี่ยนแปลงเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น สถาบันการเงินและสินเชื่อสีเขียวกำลังใช้ GHG Report เป็นเครื่องมือในการประเมินและสนับสนุนธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือการปรับตัวต่อความต้องการของตลาดและปรับตัวทันกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
ภัสสร จากสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ เปิดมุมมองว่า บริษัทมุ่งมั่นลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างความพร้อมในองค์กรมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายเดียวกัน และไม่เพียงแค่สร้างเป้าหมายนี้ให้ภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) เช่น supplier และลูกค้า ให้เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น โดยการใส่ใจสิ่งแวดล้อมนี้จะช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหม่ตามเทรนด์ความรักษ์โลก รวมถึงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและนักลงทุน ทำให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นทั้งในประเทศและระดับสากล
แต่ความท้าทายใหญ่ก็เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่เข้ามาตรวจสอบกระบวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นทำได้ยากเนื่องจากความกระจัดกระจายของข้อมูลแต่ละแผนก การจะหาเครื่องมือที่ตอบโจทย์การเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นมีน้อย ซึ่งทางหนึ่งที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือแพลตฟอร์ม SET Carbon ช่วยจัดหมวดหมู่ข้อมูล GHG อย่างเป็นระบบ มีมาตรฐานรองรับ และบริการตรวจสอบอัตโนมัติที่ช่วยประหยัดเวลา พร้อมนำไปใช้ต่อยอดในแผนงานหรือโครงการอื่น ๆ ได้ทันที หากได้ทำงานร่วมกับคณะทำงานด้าน Carbon Footprint โดยเฉพาะจะทำให้เกิดการวางแผนงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเริ่มจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในระบบ Centralized Data การรวมข้อมูลไว้ที่จุดเดียวช่วยให้ทุกฝ่ายในองค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายทำให้การวิเคราะห์และรายงานมีประสิทธิภาพสูงที่สุด และทิ้งท้ายไว้ว่า หากองค์กรใดที่อยากเริ่มให้เริ่มต้นที่บุคลากรต้องได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล GHG อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดหรือการมองว่าเป็น “ภาระงานเพิ่ม” แต่ควรมองว่านี่คือการพัฒนาองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้า
ชุติกาญจน์ จากทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป มองว่า ก้าวแรกสู่การลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กรคือ “Tone from the Top” เป็นแนวทางที่สำคัญในการผลักดันองค์กรให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืน ผู้นำองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะช่วยสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวให้ทันการแข่งขัน ยิ่งเร็วเร็วยิ่งจะได้เปรียบสูง ทิสโก้ไฟแนนเชียลก็ใช้แพลตฟอร์ม SET Carbon เช่นกัน เพื่อเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ แน่นอนความยากคือการเก็บข้อมูลย้อนหลัง ความซับซ้อนในการยื่นตรวจสอบ แต่แพลตฟอร์มที่เป็นเทคโนโลยีใหม่จะเข้ามาช่วยให้การทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกง่ายและสะดวกรวดเร็วได้มากขึ้น องค์กรที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรอยากให้ลองเริ่มตระหนักถึงเรื่องความยั่งยืนให้ได้ก่อน หรือเมื่อตระหนักแล้วให้เริ่มลงมือทำทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบให้ธุรกิจของตนเอง
วุฒิศักดิ์ จากอินเตอร์ฟาร์มา มองว่ารายงาน GHG อย่างโปร่งใสช่วยให้องค์กรมีสิทธิ์เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเป็นการปรับตัวตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้องค์กรสามารถลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า (Trade Barriers) ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ ในปี 2565 ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทได้เข้าร่วมอบรมเกี่ยวกับการจัดการ GHG และนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้กับองค์กรทันทีโดยได้รับการสนับสนุนจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในด้านการอบรมความรู้ต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานที่เกี่ยวกับ Carbon Footprint และอยากฝากถึงองค์กรที่อยากเริ่มต้นว่า อยากให้ใส่ใจเรื่องการจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ กำหนดขอบเขตขององค์กรให้ดีเพื่อให้เก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง สื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้ที่เท่าๆ กันดำเนินงานไปด้วยกันอย่างราบรื่น และใช้เครื่องมือการตรวจวัดที่ได้มาตรฐานเพื่อสร้างคะแนนที่ดีให้องค์กรตัวเอง ให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของกระบวนการต่างๆ อย่างมากที่สุด
ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เร่งจัดทำร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ได้เห็นชอบให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในเดือนมกราคม 2568 ซึ่งร่างกฎหมายฯ จะเป็นการสร้างสมดุลในมิติการบังคับและการสนับสนุนให้ประเทศเกิดความพร้อมและมีศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน”
แม้จะเกิดความท้าทายมากมายแต่ทุกองค์กรจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเตรียมรับมือกับกฎข้อบังคับต่างๆ ที่กำลังตามมาเพื่อช่วยให้โลกของเราดีขึ้น ประเทศไทยเองหลังจากผลักดันร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งประเทศไทยอย่างจริงจัง ภายใต้การดำเนินงานของ SET Carbon เองก็มีการจัดโครงสร้างเพื่อจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นการลดผลกระทบ (การลดก๊าซเรือนกระจก) การปรับตัว และการจัดหากลไกทางการเงิน เพื่อสนับสนุนมาตรการอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่สมดุลในระยะยาว โดยในปี 2026 จะมีการจัดตั้งกองทุนอย่างเป็นทางการ และในปี 2030 คาดการณ์การดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ มุ่งสู่เป้าหมายการสร้างรายได้ราว 5,300 ล้านบาทต่อปี และ 137,900 ล้านบาทในปี 2031 – 2037
หนึ่งในสิ่งที่ทุกองค์กรควรเตรียมตัวรับมือคือ Carbon Footprint for Organization (CFO) หมายถึงการวัดและประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยแบ่งการปล่อยออกเป็น 3 ขอบเขต ดังนี้
- Scope 1 : Direct Emissions (การปล่อยโดยตรง) เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่องค์กรควบคุมโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง เป็นต้น
- Scope 2 : Indirect Emissions from Purchased Energy (การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงาน เช่น ไฟฟ้า ไอน้ำ หรือความร้อนที่ซื้อมาใช้ในองค์กร
- Scope 3 : Other Indirect Emissions (การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่อยู่นอกการควบคุมโดยตรงขององค์กร เช่น การขนส่งวัตถุดิบ การเดินทางของพนักงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดอีกมากมายที่สร้างมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น การติดตามข่าวสารและเตรียมรับมือจะช่วยใช้องค์กรดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับการดำเนินงานในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเช่น การมุ่งมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์ม SET Carbon เครื่องมือจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ช่วยธุรกิจลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียวสำหรับองค์กรธุรกิจ เพราะสามารถใช้เป็นหลักฐานยื่นขอการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Finance ดังที่ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า “ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ให้ความสำคัญกับการรายงานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และมาตรฐานสากล ยกระดับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับโครงการหรือกิจการที่มุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กลุ่ม SAMART เล็งลุยธุรกิจใหม่ “พลังงานสะอาด-สิ่งแวดล้อม” รับเทรนด์ความยั่งยืน
รวมสุดยอดมหากาฬแฮ็กแห่งปี 2567
จิตตะ เวลธ์ เผยโอกาสการลงทุนผ่านตลาดหุ้นโลกปี 2568