Share on
×

Share

ENTEC กับยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนพลังงานไทยสู่นวัตกรรมและความยั่งยืน

การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะองค์กรวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานชั้นนำของประเทศ ได้ฉายภาพแนวโน้มสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงาน พร้อมทั้งบทบาทเชิงรุกของ ENTEC ในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืน ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC ได้ให้มุมมองต่อภูมิทัศน์พลังงานของไทยและของโลก ซึ่งกำลังเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทายในหลายมิติ โดยมีเทคโนโลยีพลังงานหลักที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ   

ในมุมมองของ ENTEC พลังงานไฮโดรเจนมีศักยภาพที่จะพัฒนาจากการเป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมอาหาร ไปสู่การเป็นเชื้อเพลิงสะอาดแห่งอนาคต ดร.สุมิตรามองว่า หากนำไฮโดรเจนมาประยุกต์ใช้ในภาคพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้โดยตรงหรือใช้ผ่านเซลล์เชื้อเพลิงในยานยนต์ไฟฟ้า (FCEV) หรือโรงไฟฟ้าจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำเท่านั้น จึงเป็นพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือเทคโนโลยีและความคุ้มค่าในการลงทุนไฮโดรเจนในปัจจุบันยังคงมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูงซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังพยายามแก้ไข โดยมีเป้าหมายในการลดต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวให้สามารถแข่งขันได้   

สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ เอ็นเทคมองว่าเป็นแนวโน้มที่ดีในการหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นและเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ดร.สุมิตราเน้นย้ำถึงความท้าทายด้านความไม่สม่ำเสมอในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องมีความเข้าใจว่าโซลาร์เซลล์สามารถผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะช่วงเวลาที่มีแสงแดดเท่านั้น และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม ดังที่เห็นจากวิกฤติพลังงานในประเทศสเปนและโปรตุเกส ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในปริมาณมาก ดังนั้น การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานและเทคโนโลยีสมาร์ทกริดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง   

ในส่วนของระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems – ESS) ENTEC เล็งเห็นว่าเป็นหัวใจสำคัญในการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนให้สามารถเป็นกำลังหลักของระบบไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการนำแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานแล้วและหมดอายุการใช้งาน (Second-life EV batteries) มาเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อพัฒนาและประเมินความเหมาะสมในการนำมาใช้เป็นแบตเตอรี่มือสองสำหรับระบบกักเก็บพลังงานร่วมกับโซลาร์ฟาร์ม หรือแม้กระทั่งนำมาใช้กับบ้านพักอาศัย ซึ่งมีโครงการนำร่องที่จังหวัดระยอง อย่างไรก็ตาม การจัดการแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุอย่างถูกวิธีถือเป็นโจทย์ใหญ่ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม แบตเตอรี่เหล่านี้จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทใหม่ภายในประเทศ 

นอกจากนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมากในการผลิตพลังงานจากชีวมวลและก๊าซชีวภาพ เนื่องจากมีผลพลอยได้จากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำนวนมาก เช่น ชานอ้อย ใบอ้อย เหง้ามันสำปะหลัง เศษไม้จากการแปรรูปไม้ยางพาราและไม้ยูคาลิปตัส และขยะอินทรีย์จากครัวเรือนถือเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญที่สามารถนำมาผลิตก๊าซชีวภาพได้ และปัจจุบันการจัดการขยะอินทรีย์ในส่วนนี้ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพ การนำของเสียเหล่านี้มาผลิตพลังงานไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอีกด้วย   

ในด้านความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนมีบทบาทเป็นแกนหลักในการรักษาเสถียรภาพของระบบ และจำเป็นต้องปรับตัวให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ   

ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นองค์กรผู้นำและศูนย์รวมแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานของประเทศไทย ENTEC จึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมพลังงาน โดยมุ่งเน้นดำเนินงานวิจัยและสร้างองค์ความรู้ เพื่อสนับสนุนแผนบูรณาการพลังงานระยะยาวของประเทศไทย (TIEB) ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาด เช่น ไฮโดรเจน และไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME นวัตกรรมโอเลโอเคมีภัณฑ์และเคมีภัณฑ์สีเขียว เช่น น้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ ENCAP เทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ รวมถึงแพลตฟอร์ม Solar Sure และ SEESOLAR และนวัตกรรมห่วงโซ่คุณค่าของแบตเตอรี่   

นอกจากนี้ ENTEC ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความร่วมมือและเครือข่ายพลังงาน โดยดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและขับเคลื่อนเครือข่ายสำคัญ เช่น สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และสมาคมไฮโดรเจนประเทศไทย (Hydrogen Thailand) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานร่วมกัน ENTEC มุ่งมั่นขับเคลื่อนผลงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้งานจริง สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ยั่งยืน เร่งสร้างงานวิจัยให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์และบริการจริง สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานคุณภาพสูงไปสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ดังเห็นได้จากการจัดฝึกอบรมหลักสูตร Capability Building for Energy Transition ให้กับบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การดำเนินงานทั้งหมดของ ENTEC สอดคล้องและสนับสนุน แผนบูรณาการพลังงานระยะยาวของประเทศไทย (TIEB) และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศนวัตกรรมพลังงานไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างต่อเนื่อง   

ในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ ENTEC กำลังมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้ม กำหนดทิศทาง และผลักดันการนำนวัตกรรมพลังงานมาใช้จริง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายและคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ตั้งไว้

×

Share

ผู้เขียน