หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผนึกกำลังกับหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) และหอการค้าประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Chamber of Commerce) จัดงาน “Thailand – U.S. Trade & Investment Summit 2025: Building on a Longstanding Partnership” เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้า การลงทุน และภาพรวมเศรษฐกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาในมิติเหล่านี้ ตลอดจนร่วมหารือถึงโอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีศักยภาพร่วมกันของทั้งสองประเทศ
“พิชัย ชุณหวชิร” ชูวิสัยทัศน์ กระชับสัมพันธ์-เปิดโอกาสลงทุน
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวสุนทรพจน์เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 190 ปี นับตั้งแต่สนธิสัญญาปี 1966 ที่มีผลบังคับใช้จริงจัง และความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน รัฐบาลไทยพร้อมผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุก การอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจ (EOT) การพัฒนาทักษะแรงงานให้มีคุณภาพสูง การเปลี่ยนผ่านบริการภาครัฐสู่ระบบดิจิทัล และการเร่งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมเปิดรับนักลงทุน เป็นประเทศที่ยืดหยุ่น และเป็นจุดหมายหลักของการทำธุรกิจในภูมิภาค
พิชัย กล่าวว่า สถานการณ์พลังงานของไทย จากเดิมที่เคยพึ่งพาทรัพยากรในประเทศได้ 100% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 40% ทำให้ต้องนำเข้าถึง 60% ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการใหม่ด้านการพัฒนาและการลงทุน โดยเฉพาะพื้นที่ในฝั่งตะวันตกและตอนใต้ในทะเลลึก ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่อาจทำให้มีศักยภาพเทียบเท่าอ่าวไทย และเรียกร้องให้มีการหารืออย่างจริงจังเพื่อเปิดประตูสู่การพัฒนาในพื้นที่เหล่านี้ โดยภาคพลังงานของสหรัฐฯ ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของไทยมาโดยตลอด
ในมิติการลงทุน รมว.คลังกล่าวถึงการลงทุนของบริษัทไทยในสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมมากกว่า 20 อุตสาหกรรม และยินดีที่กลุ่มนักลงทุนไทยได้รับรางวัลในงาน Select USA Investment Summit ขณะเดียวกันก็เห็นโอกาสที่การลงทุนจากสหรัฐฯ มายังประเทศไทยจะขยายตัวได้อีกมาก จึงขอเชิญชวนให้ทุกฝ่ายร่วมกันสำรวจโอกาสการลงทุนแบบสองทาง (Two-way Investment) ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 9–10 ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุดใน 25 อันดับแรกของโลกในปีนี้ และจากดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Confidence Index 2025) โดยบริษัท Kearney ประเทศไทยอยู่อันดับ 10 และอยู่อันดับ 5 ด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุน
พิชัย ยังได้เปิดเผยข้อเสนอรูปธรรมในการลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นและการลดภาษีสินค้าบางประเภทลง พร้อมย้ำถึงการสนับสนุนความร่วมมือในสาขาสำคัญได้แก่ ดิจิทัล (Amazon Web Services, Google และ Microsoft เข้ามาลงทุน และต้อนรับความร่วมมือต่อเนื่องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล) พลังงานสะอาด (แสวงหาองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ) เกษตรและอาหาร (ครัวของโลก – ร่วมมือกับบริษัทสหรัฐฯ ในเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง เกษตรกรรม และกระบวนการแปรรูปอาหาร) สุขภาพและการแพทย์ (ขยายความร่วมมือด้านนโยบายสุขภาพ บริการทางการแพทย์ขั้นสูง รวมถึงโครงการ “ศูนย์โยคะและสุขภาพ” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
“ประเทศไทยพร้อมเดินหน้า และเชื่อมั่นว่าเมื่อเราร่วมมือกัน จะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสได้ ผ่านความร่วมมือ การประสานงาน และนวัตกรรม บุคลากรแลกเปลี่ยน” (Reciprocal Talent) เป็นวาระสำคัญในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ”
“พิชัย นริพทะพันธุ์” ชี้อนาคตอุตสาหกรรมไทย: PCB-เซมิคอนดักเตอร์-AI-พลังงานสำรอง
พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้การลงทุนใหม่จำนวนมากที่ไหลเข้าสู่ไทยล้วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นอุตสาหกรรมยุคใหม่และเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต าจีนเป็นผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) รายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่โรงงานจากไต้หวัน จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ ก็กำลังเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย
“ในวันนี้ ผู้ผลิต PCB รายใหญ่ 10 อันดับต้น ๆ ของโลกส่วนใหญ่อยู่ในไทยแล้ว ดังนั้น เซมิคอนดักเตอร์จะกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของไทย เราต้องมาดูว่าท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ จะช่วยผลักดันเรื่อง ลดภาษีศุลกากร (Tariff) ได้อย่างไร หากเราสามารถเจรจาให้ภาษีเทียบเท่ากับที่สหรัฐฯ มีให้กับประเทศอื่นได้ เราก็จะสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่”
รมว.พาณิชย์ยังเน้นย้ำความสำคัญของดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ในปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียวไทยมีการลงทุนด้าน AI และดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 7–8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด TikTok เพิ่งประกาศลงทุน 8.8 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ที่ไทย และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่อีกแห่งประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ การที่บริษัทใหญ่มาลงทุนในไทยเป็นสัญญาณที่ดีมาก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยน่าสนใจคือไทยมีไฟฟ้าสำรองจำนวนมาก ปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตส่วนเกินถึง 16,000 เมกะวัตต์ สาเหตุเพราะในอดีตประเมินว่าไทยจะโตปีละ 5% แต่เมื่อเศรษฐกิจโตจริงเพียงปีละ 1.9% ทำให้มีพลังงานส่วนเกินมหาศาล อุตสาหกรรมใหม่ทุกชนิดต้องใช้พลังงานสูงมาก โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และดาต้าเซ็นเตอร์ ในขณะที่ประเทศอื่นไม่มีพลังงานมากพอ และราคาพลังงานบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ สูงกว่าไทยถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ
“เราจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต AI ได้อย่างไร โดยเฉพาะในด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์”
นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ยังกล่าวถึงประเด็นพื้นที่ OCA (พื้นที่ทับซ้อน) ซึ่งท่านพยายามผลักดันให้มีการพัฒนาทรัพยากร หากสามารถดึงก๊าซและน้ำมันออกมาใช้ จะยุติข้อพิพาทและปลดล็อกโอกาสมูลค่า 10–20 ล้านล้านบาท รวมถึงประเด็นศูนย์รวมความบันเทิงหรือคาสิโนที่ประเทศเพื่อนบ้านมีแต่ไทยยังไม่มีทำให้เงินทุนไหลออก “เราควรเลิกเป็นประเทศที่พูดอย่าง ทำอีกอย่าง ควรกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง” โดยชื่นชมแนวทางของอเมริกาที่มองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก แม้บางนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อาจดูรุนแรง เช่น การเก็บภาษีนำเข้าไทย 36% แต่ท่านเชื่อว่าสามารถเจรจาให้ดีขึ้นได้
พิชัยยังได้เล่าถึงการเดินทางไปเกาหลีใต้หลังการผ่าตัดถุงน้ำดี เพื่อพบกับทีมเจรจาจาก USTR ที่ได้ติดต่อและส่งข้อมูลให้พิจารณาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม และได้รับการตอบรับที่ดี ขณะนี้กำลังเตรียมเอกสารอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจา
สุดท้าย รมว.พาณิชย์ขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจทุกท่าน ช่วยผลักดันให้ไทยได้รับการยอมรับในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ “หากเราช่วยกันส่งเสียง ผมเชื่อว่าเราจะไปถึงจุดนั้นได้…นายกรัฐมนตรีแพทองธารก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และบอกว่าในอาเซียน ประเทศไทยคือประเทศที่ ‘ยังเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ’ อย่างชัดเจน”
“ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” เรียกร้อง “ออกแบบอนาคต” ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ในโลกยุคเปลี่ยนผ่าน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวงสำคัญ ได้กล่าวปาฐกถาในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ โดยเรียกร้องให้ประเทศไทยและสหรัฐอเมริการ่วมกัน “ออกแบบอนาคต” ของความสัมพันธ์ ท่ามกลางความผันผวนของโลก ไม่เพียงแต่มองย้อนอดีตความร่วมมือ แต่ต้องมุ่งสร้างสรรค์อนาคตร่วมกัน โดยย้ำว่าแม้ในอดีตจะเผชิญความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ แต่หลักการสำคัญที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ “ความร่วมมือของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าร่วมกันและความเคารพซึ่งกันและกัน”
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ วิเคราะห์ว่าโลกปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่นในหลายภูมิภาคทั้งตะวันออกกลาง ยูเครน และเมียนมา ตลอดจนการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สร้างทั้งโอกาสและคำถามเชิงจริยธรรมและภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยด้วยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ความคล่องตัวทางการทูต และเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง สามารถมีบทบาทเป็น “ผู้สร้างสะพาน” (bridge-builder) เพื่อเชื่อมโยงและสร้างเสถียรภาพ แทนที่จะเป็นเพียง “ผู้สังเกตการณ์” โดยยกประสบการณ์การจัดการวิกฤติเมียนมา และเห็นว่าประเทศไทยสามารถเป็น “ผู้จัดเวทีที่เงียบแต่ทรงพลัง” ทั้งในมิติการเมืองและเศรษฐกิจได้
“ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ภูมิภาคที่มีประชากร 660 ล้านคน เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตเร็ว และชนชั้นกลางขยายตัว” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ กล่าว พร้อมเสริมว่าโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก ทำให้ไทยเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าเชื่อถือสำหรับธุรกิจสหรัฐฯ ในการเข้าสู่ตลาดภูมิภาค โดยจุดแข็งของไทยไม่ใช่เพียงมิติทางภูมิศาสตร์แต่คือความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
เพื่อยกระดับความร่วมมือ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ ได้เสนอแนวทางสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่:
- พลังงานสีเขียวและการเติบโตอย่างยั่งยืน: ไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 ต้องการการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน (EV, Smart Grid, เทคโนโลยีสะอาด) โดยยินดีต้อนรับสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนในการถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝึกอบรม และพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน
- ความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ: ไทยมีศักยภาพสูงในเกษตรอินทรีย์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และไบโอเทค เสนอให้ร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางโภชนาการ สุขภาพ และการดูแลของเอเชีย
- การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI): ไทยกำลังขับเคลื่อนนโยบาย AI ในหลายภาคส่วน และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลกและภาวะผู้นำที่รับผิดชอบ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นต้นแบบ
- การแลกเปลี่ยนบุคลากรและการศึกษา: ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัย และโครงการผู้นำของสหรัฐฯ เพื่อลงทุนในคนรุ่นใหม่ ยกตัวอย่างโครงการ Chula–MIT LGO และเสนอให้มีความร่วมมือรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงยินดีต้อนรับการจัดตั้งวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยชั้นนำจากสหรัฐฯ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยน้ำว่าจำเป็นต้อง “รื้อคิด” ความร่วมมือนี้ ให้เป็นแบบ “พลิกเกม” และ “เปลี่ยนระบบ” พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้งเวที “การหารือยุทธศาสตร์เศรษฐกิจสหรัฐฯ-ไทยสำหรับทศวรรษหน้า” (U.S.–Thailand Strategic Economic Dialogue for the Next Decade) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงภาครัฐ ธุรกิจ และสถาบันการศึกษา วางวิสัยทัศน์ 10 ปีร่วมกัน โดยมีกรอบการทำงานครอบคลุม: ความยืดหยุ่น (Resilience), นวัตกรรม (Innovation), การมีส่วนร่วม (Inclusion), ความไว้วางใจ (Trust), และ การเชื่อมโยง (Connectivity)
“ความไว้วางใจไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สร้างขึ้นจากกาลเวลา ความเคารพซึ่งกันและกัน และการพูดคุยอย่างจริงใจ เชื่อว่าไทยและสหรัฐฯ กำลังจะเปิดบทใหม่ของความสัมพันธ์ ที่ต่อยอดจากรากฐานอันแข็งแกร่งในอดีต แต่ไม่ยึดติด และพร้อมเผชิญความท้าทายในปัจจุบันเพื่อคว้าโอกาสแห่งอนาคต มาเขียนบทใหม่ของความร่วมมือนี้ไปด้วยกัน” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวปิดท้าย
เสียงจากผู้นำ
ดร. พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยาวนานถึง 192 ปี และบทบาทของ “Team Thailand Plus” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทยในการส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรม
“ในสถานการณ์โลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายและก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง”
เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย H.E. Robert F. Godec กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อพัฒนาขีดความสามารถร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี โดยสหรัฐฯ สนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาความร่วมมือเพื่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกัน แม้จะมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจและการค้าของโลกในปัจจุบัน
วุฒิสมาชิก Tammy Duckworth ของสหรัฐฯ ได้ส่งสารแสดงความยินดีในการจัดงานสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสองประเทศ โดยเน้นย้ำถึงพลังของความร่วมมือระหว่างประเทศที่สามารถช่วยให้ผ่านพ้นความท้าทาย ค้นพบโอกาสใหม่ และสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืน
ภายในงานยังมีการหารือแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์จากวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทภาคเอกชนชั้นนำของไทยและสหรัฐฯ ผ่านการเสวนาภายใต้หัวข้อต่าง ๆ โดยในช่วงเช้ามีการเสวนาเกี่ยวกับ “แนวทางการเสริมสร้างการค้าและนวัตกรรมด้านเกษตรและอาหาร: เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐฯ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน” และ “การขับเคลื่อนโครงการสีเขียว: ความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อความยั่งยืน” ขณะที่ช่วงบ่ายมีการเสวนาในประเด็น “การส่งเสริมการค้าและนวัตกรรมดิจิทัล: ความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในเศรษฐกิจดิจิทัล” และ “การฟื้นฟูอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยว: ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในด้านการท่องเที่ยวและความบันเทิง”
ในช่วงท้าย ผู้นำทั้งสามหอการค้าผู้จัดงาน ได้แก่ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และ John Goyer รองประธานด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียของหอการค้าสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันเน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ โดยความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนานจะเป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ควบคู่ไปกับการร่วมกันพัฒนาความร่วมมือด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และดิจิทัล เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยุคใหม่ในอนาคตได้อย่างยั่งยืน