Share on
×

Share

ทางรอดธุรกิจไทยยุค AI: พ้นกับดัก ‘ผู้บริโภค’ สู่การใช้เป็น ‘ทรัพยากร’

ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวในงานสัมมนา “The Story Thailand Forum 2025: Sustainability in the Age of AI” ชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญทางแยกเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญในยุคปัญญาประดิษฐ์ โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะติดกับดักการเป็นเพียง ‘ผู้บริโภค’ เทคโนโลยี (AI Consumer) ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว พร้อมเสนอทางรอดให้ประเทศต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการใช้ AI เป็นผลิตภัณฑ์ ไปสู่การใช้ AI เป็น ‘ทรัพยากร’ (AI as a Resource) เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

ในการบรรยายหัวข้อ ‘Rebalancing Strategy Towards Economic Sustainability’ เนื่องในวาระครบรอบ 5 ปี The Story Thailand ดร.พิพัฒน์ ได้ยกภาพความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกมามาเปรียบเทียบอย่างเห็นภาพโดยชี้ว่าสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าสินค้ามูลค่ามหาศาลถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลการค้า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เปรียบเสมือน ‘ผู้บริโภค’ ของโลก ในขณะที่จีนซึ่งส่งออก 3.6 ล้านล้านดอลลาร์และเกินดุล 1 ล้านล้านดอลลาร์ คือ ‘ผู้ผลิต’ ของโลก การขาดสมดุลนี้สร้างปัญหาเชิงโครงสร้างฉันใด การที่ประเทศไทยเน้นบริโภคหรือใช้งาน AI ในฐานะผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (AI as a Product) เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ก็ฉันนั้น ซึ่งจะนำไปสู่การขาดดุลทางเทคโนโลยีและเสียเปรีย บในการแข่งขันในระยะยาว

ทางออกที่ ดร.พิพัฒน์เสนอ คือการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่สู่การมอง “AI ในฐานะทรัพยากร” (AI as a Resource) เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการผลิตและสร้างสรรค์โซลูชันสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว เช่น อาหาร (Food) การดูแลสุขภาพ (Healthcare) และการศึกษา (Education)

เพื่อให้แนวคิดดังกล่าวจับต้องได้ ดร.พิพัฒน์ นำเสนอกรอบการทำงาน ‘AI-as-a-Resource Matrix’ ที่ภาคธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที โดยแบ่งออกเป็น 3 ขอบเขตหลัก คือ Spend, Save และ Earn

AI-as-a-Resource Matrix

การลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Spend)  คือการใช้จ่ายเพื่อนำ AI มาช่วยทำให้งานประจำกลายเป็นอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ Wendy’s QSCC (สหกรณ์ในเครือ Wendy’s) ที่ Pete Suerken, President and CEO ระบุว่าสามารถใช้ AI ลดเวลาแก้ปัญหาในซัพพลายเชนจากหลายสัปดาห์เหลือเพียง 5 นาที หรือกรณีของ Heineken ที่ Laurens van de Rotte, COO เปิดเผยว่าสามารถสร้างทีมและระบบโลจิสติกส์ที่เคยใช้เวลา 3 ปีให้สำเร็จได้ใน 3 เดือน

การประหยัดเพื่อเพิ่มกำไร (Save) คือการใช้ AI เพื่อลดหรือเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ดังเช่นกรณีของ Fujitsu ที่นำ Palantir Foundry มาเชื่อมต่อระบบกว่า 85% และสร้างแอปพลิเคชันสำหรับปฏิบัติการกว่า 50 รายการ เพื่อปฏิรูปการจัดการคลังสินค้า Kazuki Hiraiso, Lead Echo ของฟูจิตสึระบุว่า โครงการนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายประจำปีได้ถึง 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาเพียง 3 เดือน ยิ่งไปกว่านั้น ฟูจิตสึยังได้นำต้นแบบโซลูชันนี้ไปต่อยอดให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งช่วยให้ลูกค้าหนึ่งรายสามารถลดเวลาในการฟื้นฟูจากภัยพิบัติจาก 10 วันเหลือเพียง 2 วัน

การสร้างรายได้เพื่อการเติบโต (Earn) คือการใช้ AI เป็นหัวหอกในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ล้ำหน้า เช่น บริษัทประกันในเครือ AIG ที่คาดการณ์ว่าการนำโซลูชัน “AI-Powered Underwriting Solution” มาใช้ในช่วงปี 2025-2030 จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ได้เป็นเท่าตัว จาก 10% เป็น 20%

ความจำเป็นในการปรับตัวครั้งนี้ถูกตอกย้ำด้วยข้อมูลจาก “2024 Oxford-GlobeScan Global Corporate Affairs Survey” ซึ่งระบุว่า ผู้บริหารทั่วโลกถึง 64% มองว่านวัตกรรม, ดิจิทัล และ AI คือโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญที่สุด แต่การใช้งานในปัจจุบันยังคงจำกัดอยู่แค่การสืบค้นข้อมูล (27%) หรือการร่างเนื้อหา (22%) เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจจาก “Global Sustainability Barometer Study” ยังชี้ว่า ในมิติของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่ม ‘Tech Enthusiast’ ซึ่งมีความกระตือรือร้นสูงแต่การใช้งานจริงยังไม่มากนัก และยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า มีโอกาสมหาศาลหากประเทศไทยเลือกเดินในเส้นทางของการใช้ AI เป็นทรัพยากร เช่น ในภาคการเกษตร สามารถพัฒนาไปสู่ “เกษตรแม่นยำ” (Precision Agriculture) ที่ใช้ AI ช่วยพยากรณ์อากาศและวางแผนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ หรือในภาคการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสามารถใช้ AI สกัดองค์ความรู้มหาศาลที่ซ่อนอยู่ในวิทยานิพนธ์ซึ่งถูกเก็บไว้มาสร้างประโยชน์ และใช้สร้างเครือข่ายศิษย์เก่าเพื่อเชื่อมโยงโอกาสทางอาชีพได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

“ธุรกิจจำต้องสร้างสมดุลทางกลยุทธ์ เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยใช้ ‘ปัญญาประดิษฐ์เป็นทรัพยากร’ มากกว่าใช้ ‘ปัญญาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์’ จุดนี้จะเป็นทางแยกที่เราจะต้องมีการวางโร้ดแมปของประเทศในเรื่องของการใช้ AI ให้ไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.พิพัฒน์ กล่าว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

NIA ผนึก วิศวะ จุฬาฯ หนุนผู้ประกอบการไทย พร้อมแข่งในตลาด Net Zero

SIG ยกระดับเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ แก้ปัญหา Food Waste และ Packaging Waste

×

Share

ผู้เขียน