ตามไปฟังสูตรการเลือกลงทุนเทคแบบโกอินเตอร์ ที่อาจจะทำให้เกิดภาวะ “โกยอินเตอร์” ได้คุ้มค่าหลายมุม สำหรับแนวคิดของ นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ Managing Partner ของ SeaX Ventures ผู้ใช้มุมมองเรียบง่ายแต่ชัดเจน สะท้อนวิสัยทัศน์ในการมองหาเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มีศักยภาพสูง และมีโอกาสสร้างผลกระทบวงกว้างกับโลกรวมถึงประเทศไทยในอนาคต
ผลงานล่าสุดของ SeaX Ventures คือการเป็นกองทุนที่ร่วมลงทุนใน Type One Energy ซึ่งเป็น Startup ด้านพลังงานฟิวชัน โดยลงทุนในรอบ Seed Round ร่วมกับกองทุนของ Bill Gates (Breakthrough Energy Ventures) มูลค่าการระดมทุนรอบดังกล่าวอยู่ที่ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,900 ล้านบาท โดย SeaX Ventures ลงทุนไป 2.6 ล้านเหรียญ หรือราว 91 ล้านบาท
การลงทุนครั้งนี้ต่อยอด SeaX Ventures ได้หลายด้าน เพราะการได้รับตำแหน่ง Board Observer ทำให้ไม่เพียงได้เรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และเทคโนโลยี แต่การลงทุนนี้ยังทำให้ SeaX Ventures มีโอกาสนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นรายแรก ๆ ส่งให้ SeaX Ventures คาดหวังทั้งผลตอบแทนทางการเงิน และผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศจากการลงทุนรอบนี้
แม้ตลาดการลงทุนโดยรวมในสหรัฐฯยังไม่ฟื้นตัว แต่ Type One Energy ได้รับความสนใจมากเพราะเทคโนโลยีพลังงานสะอาดกำลังเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะการรองรับการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดย Type One Energy มีจุดแข็งคือการสามารถพิสูจน์ได้ในระดับห้องปฏิบัติการ ว่าสามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าพลังงานที่ใส่เข้าไป ซึ่งนพ.ศุภชัย ใช้คำว่า “เข้าไป 1 ได้ออกมากกว่า 1” และขั้นต่อไปคือการพิสูจน์ในระดับโรงงาน
Type One Energy เพชรน้ำงามดูไม่ยาก
ด้วยความที่ Type One Energy เป็น 1 ใน 8 บริษัทด้านพลังงานฟิวชัน ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีสร้างพลังงานด้วยวิธี Stellarator ซึ่งใช้แม่เหล็กขดตัวคล้ายรูปทรง DNA มนุษย์ ทำให้ประหยัดพื้นที่และการลงทุน ดังนั้นเมื่อ Type One Energy วางเป้าหมายสร้าง Pilot Plant ในปี 2027 เพื่อเริ่มขายกระแสไฟฟ้าได้ในปี 2030 ดาวรุ่งอย่าง SeaX Ventures จึงไม่รอช้าที่จะไปร่วมระดมทุนเพื่อสร้างโรงงานต้นแบบกับ Type One Energy
“กองทุนของเราไปลงทุนใน Startup ร่วมกับกองทุนของ Bill Gates ที่เค้าลงทุนใน Startup นี้ในรอบเดียวกัน ซึ่งเป็น Seed Round กองทุกของ Bill Gates ที่ชื่อ Breakthrough Energy Ventures เป็นคน lead แล้ว SeaX Ventures ก็ลงไป 2.6 ล้านดอลลาร์ ได้เป็นบอร์ดสังเกตการณ์ เหมือนบอร์ดทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ได้โหวต การเป็น Board Observer ทำให้เราเห็นถึงวิธีการทำงาน วิธีการบริหารจัดการเรื่องของ Intellectual Property ซึ่งผมว่าเรื่องนี้สำคัญมาก สมมติว่าถ้าประเทศไทยเราจะสร้างอะไรมาสักอย่างหนึ่ง มันจะมีกลยุทธ์ในการวางกลยุทธ์ในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนใหญ่อาจจดสิทธิบัตรแค่ในประเทศไทย แต่ว่าจริง ๆ แล้ว เวลาที่เราทำบริษัทระดับโลก มันจำเป็นจะต้องเห็นภาพกว้างเลยว่า IP ตรงนี้คู่แข่งของเราจดไปหรือยัง”
นพ.ศุภชัย ยกตัวอย่างเรื่องเทคโนโลยีการทำฟิวชัน (Fusion) ที่ไม่ได้มีแค่โรงงานแล้วจบไป แต่จะต้องมีแหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังแม่เหล็กมารองรับ ทุกอย่างล้วนสามารถจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาได้ทั้งหมด ซึ่งบริษัทควรพิจารณาตลาดว่าผู้เล่นอื่นในอุตสาหกรรมจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาใดไปแล้ว เพื่อให้บริษัทสามารถป้องกันส่วนที่เหลือ และวางแผนกลยุทธ์ทรัพย์สินทางปัญญาแบบคุ้มค่าและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง
นอกจากเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้เรียนรู้จากการเป็นบอร์ด นพ.ศุภชัย ระบุว่า การเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีนั้นเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกของ SeaX Ventures ที่ต้องการรู้อินไซต์ขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ SeaX Ventures จะมีสิทธิ์เป็นคนกลุ่มแรกที่จะสามารถพาเอาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำในประเทศไทยได้ เนื่องจากมีสัญญาที่ระบุว่าสตาร์ตอัพจะต้องให้โอกาส SeaX Ventures ในการเลือกก่อนว่า SeaX Ventures อยากนำเทคโนโลยีใดเข้ามาใช้ในเมืองไทยหรือไม่
เมื่อถามถึงความคาดหวัง ในฐานะนักลงทุนกับตัวสตาร์ตอัพด้านพลังงานเทคโนโลยีใหม่ นพ.ศุภชัย ยอมรับว่า SeaX ตั้งความหวังว่า Type One Energy จะระดมทุนได้มากขึ้นไปอีกในรอบถัดไป และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความสามารถสร้างอิมแพคให้กับประเทศและนักลงทุนของ SeaX ที่นำเงินมาร่วมลงทุน และหากมีการ Synergy ระหว่างเทคโนโลยี หรือระหว่างองค์กรและระหว่างประเทศ ก็จะมีประโยชน์และสร้าง Impact ได้จริง ให้ประชาชนไทยใช้ได้เลย
การระดมทุนของ Type One Energy ที่สำเร็จงดงามนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่ นพ.ศุภชัยมองว่าสถานะของการ Funding ในตลาดโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่อยู่ในระดับดีมาก และไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเป็นเหมือน 2-3 ปีที่แล้ว แต่เหตุผลที่ทำให้ Type One Energy ได้รับความสนใจอย่างมาก คือพลังงานเป็นแนวโน้มที่โลกเห็นความท้าทายมากขึ้นต่อเนื่อง
“ผมคิดว่าการระดมทุนรอบนี้เป็นรอบที่ไม่ปกติ เพราะอย่างที่เราทราบกัน คือแม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง ตอนนี้ก็ยังถือว่าเป็น Funding Winter ก็คือยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติเหมือน 2-3 ปีที่แล้ว ที่การลงทุนมันเคยดีมาก เพราะว่าอย่างที่เราเห็น Sam Altman ของ ChatGPT ก็ยังออกมาบอกตลอดว่าชีวิตเค้า เค้าจะลงทุนแค่ 2 อย่างในโลก หนึ่งคือชิปที่ใช้ประมวลผล เหมือน Nvidia ที่ราคาหุ้นทำสถิติสูงสุดไปแล้ว สองคือ Computing Power โดย Sam บอกว่าจะมีเรื่องพลังงานมหาศาลที่จะใช้ประมวลผล AI ซึ่งยังเป็นคำถามว่าควรจะเอามาจากไหน โดยที่ไม่ทำลายโลก ไม่ปล่อยคาร์บอนมหาศาล และทำให้โลกไม่ร้อนขึ้น”
ท่ามกลางโลกที่ร้อนขึ้น นพ.ศุภชัยอธิบายว่า หนึ่งในทางแก้ที่ถูกมองไว้คือโลกต้องมีพลังงานสะอาด ที่จะใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ มักตอบโจทย์เฉพาะช่วงเวลาที่มีลมและมีแสงแดด แต่พลังงานใหม่อย่าง Fusion นั้นถูกพูดถึงวงกว้าง และ Sam ก็ได้เจาะจงไว้ในระหว่างกล่าวที่เวที World Economic Forum ว่ามีความสนใจ Fusion Energy เป็นการส่วนตัว ซึ่งนพ.ศุภชัยมองว่า นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทั่วโลกสนใจเรื่องพลังงานทางเลือกอย่าง Fusion Energy ในขณะนี้
“บริษัทที่ทำได้จริง มีไม่เยอะ ใครอยากลงทุนก็ลงได้เลย บริษัทที่ทำ Fusion มีเป็นร้อยบริษัททั่วโลก เราก็สแกนดูทั้งร้อยนั้นเลย ว่าตัวไหนเจ๋งบ้าง ทั้งผู้ก่อตั้งและเทคโนโลยี จนเราไปเจอตัว Type One และคิดว่าบริษัทนี้สามารถพิสูจน์แล้วในแง่ความเสี่ยงทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Risk) หรือก็คือความเสี่ยงในห้อง Lab ทั้งการตรวจสอบสมการทางฟิสิกส์ว่าใส่พลังงานเข้าไปหนึ่ง พลังงานจะออกมาเกินหนึ่งหรือไม่ ซึ่งในร้อยบริษัทที่ทำ Fusion นั้นไม่ใช่ทุกบริษัทที่ใส่พลังงานไป 1 แล้วพลังงานจะออกมามากกว่าหนึ่ง” นพ.ศุภชัยกล่าว
แม้จะผ่านด่าน Scientific Risk ที่สามารถพิสูจน์ในห้องปฏิบัติการว่าการป้อนพลังงานใส่ไปหนึ่ง จะออกมามากกว่าหนึ่งได้แล้ว แต่ Type One ยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คือการสร้างโรงไฟฟ้าจำลองขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความเสี่ยงเรื่อง Engineering Risk หรือก็คือความเสี่ยงด้านวิศวกรรม ที่ยังต้องใช้เวลากว่าจะพิสูจน์ได้ว่าโรงงานที่สร้างขึ้นนั้นดำเนินการได้ตามที่วางแผนหรือไม่
“สร้างมาแล้ว มันจะผลิตพลังงานออกมาได้หนึ่งมากกว่าหนึ่งเหมือนเดิมไหม? เพราะว่าใน Lab มันทำได้ การที่เค้าระดมเงินทุนตรงนี้ไปก็เพื่อที่จะตอบโจทย์ว่าฉัน Prove แล้วว่าฉันสร้างโรงงานแล้วผลิตได้จริง และฉันพร้อมที่จะไปตั้งโรงงานที่ประเทศอื่นทั่วโลก หรือแม้แต่ประเทศไทย อันนี้ก็คือสิ่งที่ Type One ทำอยู่”
ทั้งที่ Type One ไม่เคยมีโรงงานต้นแบบ แต่บริษัทนี้สามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้มาก รวมถึง Bill Gates ที่มั่นใจมากจากการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศนโยบายใหม่ในปี 2023 นั่นคือ Inflation Reduction Act หรือ IRA เพื่อลงเงินทุนระดับแสนล้านดอลลาร์สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจแบบยับยั้งเงินเฟ้อ เม็ดเงินส่วนใหญ่ทั้งหมดจึงโฟกัสการให้ประโยชน์ Clean Tech Company
“ไม่ว่าจะเป็น Fusion, Solar หรือ Carbon Capture คือใครก็ตามที่ลดคาร์บอนได้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้สิทธิทางภาษีหรืออาจมอบเงินให้เปล่ามูลค่าสูง ซึ่ง Type One เป็น 1 ใน 8 บริษัทกลุ่ม Fusion Energy ที่กระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาหรือ DOE ได้มอบกองทุนให้รวม 46 ล้านเหรียญ แม้ว่าเงินกองทุนจะไม่ได้มีมูลค่าสูงมาก แต่การที่มีตราประทับจากรัฐบาลว่าบริษัทเป็น 1 ใน 8 ของโลก และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า Type One ทำได้จริง จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่นักลงทุนยินดีหยิบยื่นสตางค์ให้ Type One นำไปต่อยอด”
หากมองที่เทคโนโลยี นพ.ศุภชัยชี้ว่า Type One แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาดฟิวชันทั้งในแง่ผลลัพธ์และเทคนิค และไม่ใช่ทุกเทคนิค ที่สามารถใส่พลังงานเข้าไปหนึ่งแล้วออกมามากกว่าหนึ่ง โดยในทางทฤษฎี 3 เทคนิคที่ใช้ในระบบพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่นประกอบด้วย 1. Tokamak ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ต้องการพื้นที่และเงินลงทุนมหาศาล 2. Stellarator วิธีที่ Type One Energy เลือกใช้ ซึ่งประหยัดทั้งพื้นที่และเงินลงทุน และ 3. Inertia Confinement Fusion การใช้เลเซอร์เร่งปฏิกิริยา
“Tokamak เป็นวิธีดั้งเดิมซึ่งใช้พื้นที่มากและเงินทุนมหาศาล มีแค่รัฐบาลหรือว่ากองทุนรัฐบาลเท่านั้นที่ทำได้ ขณะเดียวกันก็ยากที่จะได้รับปันผลกลับมา แต่ Type One Energy และอีกหลายเจ้าทำวิธีที่สอง ซึ่งแก้ปัญหาเรื่องใช้พื้นที่ โดยเปลี่ยนการออกแบบแม่เหล็กที่ให้พลังงานเหนี่ยวนำ ด้วยการนำแม่เหล็กมาขดตัวและหมุนวนในรูปแบบที่มองคล้ายกับ DNA การขดตัวทำให้ไม่ต้องใช้พื้นที่ใหญ่และประหยัดการลงทุนได้ ส่วนอีกวิธีคือการใช้ Laser ซึ่งถูกใช้โดย 1 ใน 8 บริษัทที่ได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เท่าที่ผมทราบ ตัว Laser มันยังไม่สามารถจะทำพลังงานได้เข้าไปหนึ่งออกมามากกว่าหนึ่งเลย คือมันเป็นวิธีใหม่ที่สุด มีแนวโน้มประหยัดได้มากกว่า Type One แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ Scientific Risk เลย ถือเป็นความแตกต่างกันของแต่ละเทคนิคที่ใช้ทำพลังงานแบบนี้”
SeaX Ventures ยืนหยัดวิสัยทัศน์เดิม
นอกจากการติดตามว่า Type One Energy จะตั้งโรงงานนำร่องสำเร็จในปี 2027 และการขายกระแสไฟฟ้าได้จริงในปี 2030 ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ นพ.ศุภชัยชี้ว่า SeaX Ventures ในวันนี้ยังมีวิสัยทัศน์คงเดิม คือต้องการผลักดัน 1% ของ GDP ของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำเทคโนโลยีจากทั่วโลกมาช่วยองค์กรในภูมิภาค
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และเริ่มขยายการลงทุนนอกจากสหรัฐอเมริกา สู่การลงทุนใน 3 บริษัทสัญชาติยุโรปในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดโลกร้อน การลดคาร์บอน และความยั่งยืน ตัวอย่างการลงทุนที่น่าสนใจคือ Bluu Seafood ผู้ผลิตเนื้อปลาแซลมอนจากการเพาะเลี้ยงเซลล์จากเยอรมนี และ Hoxton Farms ผู้ผลิตไขมันแทรกเนื้อจากพืชด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์ในอังกฤษ
“บริษัทนี้เค้าฉลาดมากนะครับ จากที่มีคนทำ Plant Based อยู่มากมาย Hoxton Farms เลือกทำไขมันแทรกเนื้อจากพืชดีกว่า ความน่าสนใจคือโอกาสที่จะมีผู้ต้องการซื้อไขมันแทรกในเนื้อ plant based สูงมากเพื่อให้ Plant Based มีรสชาติดี เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ผลิตกลุ่มนี้ใช้ไขมันจากพืช แต่ Hoxton Farms เป็นไขมันจากสัตว์นะครับ มันจะอร่อยกว่าแน่นอน 100%”
ความอร่อยนี้จะเปิดให้ชิมที่โซน Workshop ของส่วน “Food of the Future” ที่งาน CIS 2024 หรือ Corporate Innovation Summit ประจำปีนี้ที่ SeaX Ventures และต้นสังกัดอย่าง RISE ซึ่งเป็นสถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ได้ร่วมกันจัดขึ้นวันที่ 25-26 กันยายน 2567 โดยไม่เพียงชิม SeaX Ventures เชื่อว่า Hoxton Farms จะมีการประกาศเป็นพันธมิตรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารของเมืองไทยในงานนี้ด้วย
สำหรับประเทศไทย นพ.ศุภชัยมองว่าวงการสตาร์ตอัพปีนี้มีความน่าตื่นเต้น แม้จะเป็นช่วงที่ยากสำหรับ Startup ในการระดมทุน
แต่จะมีพื้นที่ให้ Startup ที่มีศักยภาพสูงซึ่งยังสามารถหาเงินลงทุนได้ ภาวะนี้เห็นได้ชัดหลังจาก Startup อย่าง SkillLane และ Line Man Wongnai ที่กำลังจะ IPO ขณะเดียวกัน การลงทุนต้องมีการคัดสรรอย่างเข้มข้นมากขึ้น และเน้นการเลือกตัวดาวรุ่งที่โดดเด่นหรือ Pick the Winner ให้แม่นยำ
ที่ผ่านมา นพ.ศุภชัยเผยว่า SeaX Ventures ได้ใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 50% ยังเหลืออีกเกินพันล้านสำหรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดย SeaX จะยังคงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ RISE และ SeaX ซึ่งจดทะเบียนที่สหรัฐอเมริกานั้นจะยังคงแยกไปลงทุนที่ต่างประเทศเหมือนที่ทำตลอดมา
ในส่วนงาน Corporate Innovation Summit นั้นเป็นงานที่ RISE จัดมาตั้งแต่ปี 2019 ธีมหลักงานในช่วง 2 ปีหลังคือ “Drive growth innovation while saving the world” ซึ่งโฟกัสเรื่องนวัตกรรมเพื่อการเติบโต ควบคู่กับเทคโนโลยีด้านลดโลกร้อนและความยั่งยืน สำหรับปีนี้มีธีมพิเศษคือการเพิ่มเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามา โดยมีกองทุน AI ของ Google มาร่วมงาน
นพ.ศุภชัยย้ำว่า งานนี้ไม่เพียงเน้น hands-on workshop มากกว่า 60 workshops ตลอด 2 วัน แต่งานไฮบริดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่จัด ณ True Digital Park ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ 2 ปีติดต่อกันนั้นจะเน้นที่กลุ่ม Corporate โดยเฉพาะผู้มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งในงานจะมีการนำเสนอสตาร์ตอัพเพื่อลงทุนในระดับ Series A ขึ้นไปที่พร้อมทำงานกับองค์กร กลายเป็นพื้นที่ให้องค์กรได้พบกับสตาร์ตอัพที่สามารถทำงานร่วมกันได้ตามต้องการ คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะแหล่งธุรกิจ นอกเหนือจากการท่องเที่ยว
“เราอยากให้คนรู้จักประเทศไทย ไม่ได้รู้จักเฉพาะเรื่องท่องเที่ยว แต่สามารถมาทำธุรกิจกับองค์กรไทยได้ด้วย ก็เลยเป็นที่มาของชื่องาน Corporate Innovation Summit คือเน้นไปที่ Corporate เพราะฉะนั้นคนที่จะมาส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็น Corporate เลย ที่จะต้องการมาหา Startup ที่ทำงานได้จริง ของเราจะโฟกัสเฉพาะตัวที่เป็น Series A ขึ้นไป คือโตแล้ว แข็งแรงแล้ว เพราะว่า Corporate อาจไม่ได้อยากจะมาคุยกับ Startup เบบี๋ที่ยังเอาไปใช้งานไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ถ้าจะมาทำธุรกิจจริงจัง เป็น Corporate ที่อยากจะมาคุยกับ Startup ที่เป็นรุ่นใหญ่ ก็ให้มาที่ CIS ”
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นงาน CIS หรือการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีอนาคต ทุกอย่างล้วนมีแรงกระเพื่อมเชิงบวกต่อประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตรงตามตำรา “เข้าไป 1 ได้ออกมากกว่า 1” ซึ่งไม่ใช่แค่ SeaX Ventures แต่เราทุกคนก็สามารถใช้สูตรนี้ในการมองธุรกิจหรือการตัดสินใจได้เช่นกัน
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” Postdoc จาก MIT กับสมการ “โดราเอมอน=AI+จิตวิทยา”