ในยุคที่เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลถูกตั้งคำถามถึงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ วรานิษฐ์ ธนพิธวิวัธน์ Co-Founder บริษัท ช็อปจีนิกซ์ จำกัด ได้เปิดเผยเบื้องหลังอาณาจักรบนแพลตฟอร์ม TikTok ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและทุบทุกสถิติ โดย SHOPGENIX ไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นเพียง MCN (Multi-Channel Network) แต่เป็น “Conversion Agency” หรือเอเจนซี่ที่วัดผลความสำเร็จจาก “ยอดขาย” เพียงอย่างเดียว และพวกเขากำลังจะสร้างยอดขายรวมมูลค่ามหาศาลกว่า 6-7 พันล้านบาทในปีนี้ ผ่านกลไกที่เรียกว่า Affiliate Marketing และขุมพลังจากกองทัพครีเอเตอร์ที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยรู้จักชื่อของพวกเขาเลย
จาก 9 แสนสู่ 500 ล้านต่อเดือน: เส้นทางเติบโตที่น่าทึ่ง
SHOPGENIX ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่เพิ่งประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาคือเจ้าของสถิติ MCN ที่ทำยอดขาย (GMV) สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยติดต่อกันถึง 25 เดือนซ้อน เส้นทางการเติบโตของพวกเขาเปรียบเสมือนภาพสะท้อนการขยายตัวของสมรภูมิ E-commerce บน TikTok ได้อย่างชัดเจน
จุดเริ่มต้นในเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งเป็นช่วงที่หลายคนยังมองว่า TikTok เป็นเพียงแพลตฟอร์มแห่งความบันเทิง SHOPGENIX กลับมองเห็นโอกาสจากการถอดรหัสแอปพลิเคชันแม่อย่าง Douyin ในประเทศจีน ที่เป็นแพลตฟอร์ม E-commerce เต็มรูปแบบ พวกเขาเริ่มต้นทำ MCN ในเดือนแรกด้วยยอดขาย 9 แสนบาท และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ TikTok Shop ในไทย ทำให้ยอดขายพุ่งทะยานสู่ 90 ล้านบาทต่อเดือน ภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน หรือเติบโตกว่า 100 เท่า และความร้อนแรงยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะในเวลาเพียงปีกว่า ยอดขายได้ไต่ระดับขึ้นมาอยู่ที่ 500 ล้านบาทต่อเดือนในปัจจุบัน
เมื่อมองภาพรวมเป็นรายปี ตัวเลขยิ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของแพลตฟอร์ม ปี 2023 ปีแรกของการดำเนินงานตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงธันวาคม สามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 886 ล้านบาท ก่อนจะเติบโตขึ้นถึง 4 เท่าในปี 2024 ด้วยยอดขาย 3,568 ล้านบาท และความร้อนแรงยังคงต่อเนื่องมาถึงปี 2025 ที่เพียงแค่ครึ่งปีแรกก็สามารถทำยอดขายไปแล้ว 2,896 ล้านบาท ซึ่งแซงหน้ายอดขายตลอดทั้งปีของปีก่อนหน้าไปเป็นที่เรียบร้อย ด้วยอัตราการเติบโตนี้ SHOPGENIX คาดการณ์ว่ายอดขายรวมของครีเอเตอร์ในสังกัดตลอดปี 2025 จะพุ่งไปแตะระดับ 6,000 – 7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคได้หลั่งไหลเข้ามาสู่แพลตฟอร์มนี้อย่างมหาศาล
กองทัพครีเอเตอร์: ขุมพลังเบื้องหลังยอดขายพันล้าน
คำถามสำคัญคือ ยอดขายระดับ 500 ล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเป็นกว่า 1,500,000 ออเดอร์นั้นมาจากไหน? คำตอบไม่ได้อยู่ที่เซเลบริตี้หรือดาราชื่อดัง แต่อยู่ที่กองทัพ “ครีเอเตอร์” กว่า 3,000 คนที่แอคทีฟอยู่ในสังกัด ซึ่งได้เปลี่ยนการสร้างคอนเทนต์ให้กลายเป็น “อาชีพหลัก” อย่างเต็มตัว
พลังของพวกเขาสะท้อนผ่านปริมาณคอนเทนต์มหาศาลที่ถูกผลิตออกมาในแต่ละวัน ในด้านการไลฟ์สด พวกเขาสามารถสร้างชั่วโมงการรับชมรวมกันสูงถึง 7,000 ชั่วโมงต่อวัน และในวันแคมเปญใหญ่ ๆ เช่น Payday หรือ Double Digit (7.7, 8.8) ตัวเลขนี้สามารถพุ่งสูงถึง 20,000 ชั่วโมงต่อวัน จากการที่ครีเอเตอร์ทุ่มเทไลฟ์กันแบบไม่หลับไม่นอน ขณะเดียวกัน ในด้านคลิปวิดีโอ ครีเอเตอร์แต่ละคนยังผลิตคลิปติดตะกร้า (Video Shopping) เฉลี่ย 20-30 คลิปต่อวัน เพราะทุกคลิปเปรียบเสมือน “สินทรัพย์ดิจิทัล” (Digital Asset) ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องหากกลายเป็นไวรัล
ที่น่าสนใจคือ ครีเอเตอร์ที่ทำยอดขายสูงสุดในสังกัด สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 26 ล้านบาทภายในเดือนเดียว และหลายคนมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน โดยที่พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนดังในวงการบันเทิง แต่เป็นคนธรรมดาที่สร้าง “ความน่าเชื่อถือ” และวางตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้าที่ขาย จนมีฐานแฟนคลับที่เชื่อมั่นและพร้อมจะสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น
ถอดรหัสสินค้าขายดี: จาก “กาแฟ” สู่ “บิวตี้” ยกลัง
เมื่อเจาะลึกลงไปในเบื้องหลังยอดขายมหาศาล จะพบภาพที่น่าสนใจ โดยสินค้าที่ครองสัดส่วนยอดขายสูงสุดเกือบ 20% คือกลุ่มเครื่องดื่ม (Drinks) ที่เป็นสินค้าใกล้ตัวและขายง่าย เช่น เนสกาแฟ หรือ อิชิตัน แต่ความลับที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การขายปลีกทีละชิ้น แต่อยู่ที่การเข้ามาของกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยมีใครคาดคิด นั่นคือบรรดา “ร้านชำเล็ก ๆ ตามต่างจังหวัด”
นี่คือภาพการพลิกโฉมซัพพลายเชนแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เจ้าของร้านชำต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซื้อสินค้าที่ห้างค้าส่งอย่างแม็คโครหรือโลตัสเพื่อนำของเข้าร้าน ปัจจุบันพวกเขาสามารถเข้ามาในไลฟ์สดบน TikTok และสั่งซื้อสินค้า “ยกลัง” หรือ “ยกโหล” ได้โดยตรง ทำให้มูลค่าการสั่งซื้อต่อหนึ่งออเดอร์ไม่ใช่แค่หลักร้อย แต่พุ่งสูงขึ้นเป็นหลักพันหรือหลักหมื่นบาท
ปรากฏการณ์นี้ได้เปลี่ยน TikTok Live ให้กลายเป็นช่องทางค้าส่งแห่งใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนบทบาทของครีเอเตอร์จากการเป็นผู้ขายปลีก (B2C) ไปสู่การเป็นผู้จัดจำหน่ายรายย่อย (B2B) ที่ทรงพลังโดยปริยาย
ที่สำคัญ เทรนด์การซื้อยกลังนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่สินค้าอุปโภคบริโภคอีกต่อไป แต่ได้ขยายวงไปสู่กลุ่มสินค้าความงาม (Beauty) แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในตัวครีเอเตอร์สูงมาก จนสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าที่ต้องการความเชื่อใจในปริมาณมากได้โดยไม่ต้องเห็นของจริง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มที่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขายในระดับโครงสร้างของธุรกิจรายย่อยทั่วประเทศ
วิวัฒนาการ Influencer Marketing 3.0 สู่ยุคแห่ง ROI
SHOPGENIX ชี้ว่าวงการ Influencer Marketing ได้เดินทางมาถึงยุค 3.0 ที่เป็นผลลัพธ์จากการแก้ปัญหาที่แบรนด์ต้องเผชิญมาตลอด นั่นคือแคมเปญที่ “ดังแต่ไม่ทำเงิน” หรือยอดวิวสูงแต่ไม่เกิดยอดขายจริง และไม่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน
วิวัฒนาการนี้แบ่งได้เป็น 3 ยุคสมัยอย่างชัดเจน ยุค 1.0 คือการ “ซื้อชื่อเสียง” ผ่านดาราและเซเลบริตี้ชื่อดัง ต่อมาในยุค 2.0 เริ่มเปลี่ยนมาใช้คอนเทนต์จากอินฟลูเอนเซอร์รายย่อยเพื่อ “เพิ่มการมองเห็น” แต่ปัจจุบันได้เข้าสู่ยุค 3.0 อย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นยุคที่ทุกอย่างต้องวัดผลได้จริง ต้องสร้างยอดขายได้จริง และเกิดการซื้อขายได้จริงเท่านั้น
หัวใจของยุค 3.0 คือ ความจริงใจและความน่าเชื่อถือ (Authenticity) ซึ่งไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นกลยุทธ์ที่จับต้องได้ ครีเอเตอร์ที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีความรู้ในตัวสินค้าอย่างลึกซึ้ง จนสามารถทำให้ผู้ติดตามรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้กำลังถูก “ขายของ” แต่กำลังได้รับ “คำแนะนำ” ว่านี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องมี สิ่งนี้สร้างความไว้วางใจที่แข็งแกร่งกว่าการโฆษณาแบบเดิม ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น การวัดผล ROI ในยุคนี้ไม่ได้จบแค่ยอดขายครั้งแรก แต่ประกอบด้วย 4 เสาหลักคือ Awareness, Engagement, Conversion และที่สำคัญที่สุดคือ Retention หรือการกลับมาซื้อซ้ำ เพราะสงครามการตลาดยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่การซื้อครั้งแรก แต่จะชนะได้ก็ต่อเมื่อสามารถทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้จริง ซึ่งนี่คือจุดที่ Affiliate Marketing เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะเป็นโมเดลที่ตอบโจทย์ยุค 3.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ลดต้นทุนให้แบรนด์ที่ไม่ต้องสร้างคอนเทนต์เอง และสร้างสถานการณ์แบบ Win-Win-Win ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อครีเอเตอร์พบว่าสินค้าของคุณขายดี พวกเขาจะกลายเป็นพาร์ทเนอร์ที่ช่วยขายสินค้าให้คุณทุกวันโดยที่คุณไม่ต้องร้องขอ เป็นการเปลี่ยนสมการตลาดจากการ “จ้าง” ไปสู่การ “ร่วมมือกันเติบโต”
7 กลยุทธ์มัดใจครีเอเตอร์: สูตรลับที่แบรนด์ต้องรู้
แล้วทำอย่างไรแบรนด์ถึงจะกลายเป็นสินค้าที่ครีเอเตอร์อยากหยิบมาขาย? SHOPGENIX ได้เปิดเผยกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์และร้านค้าควรทำเพื่อดึงดูดครีเอเตอร์ระดับท็อป
ประการแรกคือการสร้าง คอมมิชชันพิเศษ (Special Commission) โดยออกแบบโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นอย่างน้อย 4 ระดับ เพื่อสร้างแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ระดับสูงสุดสำหรับเอเจนซี่ ไปจนถึงระดับสำหรับท็อปครีเอเตอร์ ครีเอเตอร์ทั่วไป และระดับเปิดสำหรับทุกคน
ประการต่อมาคือ การสนับสนุนงบยิงแอด (Ad Spend) ให้ครีเอเตอร์ใช้ในการโปรโมตคลิปหรือไลฟ์สดของพวกเขา เพื่อเพิ่มการมองเห็นและสร้างยอดขายได้มากขึ้น รวมถึงการส่งสินค้าตัวอย่าง (Sample Product) ให้พวกเขาได้ทดลองใช้จริง โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูง เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจก่อนนำไปรีวิว
นอกจากนี้ การจัดแคมเปญสำหรับครีเอเตอร์ (Special Campaign) โดยเฉพาะ เช่น การมอบรางวัลให้ผู้ที่ทำยอดขายสูงสุด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและการมีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าการให้ข้อมูลเชิงลึก (Briefing & Insight) เกี่ยวกับจุดเด่นของสินค้า ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ครีเอเตอร์สร้างคอนเทนต์ได้ตรงจุด แต่สิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดคือความคิดที่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยงบจ้างเสมอไป
SHOPGENIX ย้ำว่าแบรนด์ ไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยงบจ้าง (No Budget Needed) เพราะหากสินค้าดีและค่าคอมมิชชั่นน่าสนใจ ครีเอเตอร์จะหยิบสินค้าไปขายเอง และเมื่อทำยอดขายได้ครั้งหนึ่งแล้ว พวกเขาจะขายให้คุณตลอดไป และหัวใจสำคัญที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตร (Partnership) ไม่ใช่ผู้ว่าจ้าง ด้วยการให้เกียรติและทำให้ครีเอเตอร์รู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จ
ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของการทำ Affiliate Marketing คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง หากครีเอเตอร์รู้สึกว่าพวกเขาไม่ “วิน” พวกเขาก็พร้อมที่จะจากไปทันที เพราะในโลกของ TikTok ที่มีสินค้าให้เลือกขายมากมาย ความเชื่อใจและผลประโยชน์ที่ลงตัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ความยั่งยืนไม่ใช่ ‘ต้นทุน’ แต่คือ ‘โอกาส’ ครั้งใหญ่ของ SME ไทย
TCP เปิดยุทธศาสตร์ใหม่ ชู AI และ Diversify ฝ่าความท้าทายสู่การเติบโตยั่งยืน
ไปรษณีย์ไทย 142 ปี ก้าวสู่ ‘Information Logistics Hub’