Share on
×

Share

เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ตลาด 2024 ปรับตัวอย่างไรก่อนเข้าสู่ปี 2025

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การติดตามเทรนด์ตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ทันและสร้างโอกาสในการเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และก่อนจะไปต่อในปี MIT Trends 2025 ชวนมาทบทวน Market & Consumer ของปี 2024 โดยวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ CMO The Mall Group และศิริพร กิตติชัชวาล General Manager – Country Head (Thailand) YouGov (Thailand) Co., Ltd. เจาะเรื่องเทรนด์ตลาดและพฤติกรรม (Market & Consumer) รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมของตลาด มีประเด็นที่น่าจับตา

5 เทรนด์การตลาดในโค้งสุดท้ายของปี 2024

วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ CMO The Mall Group ผู้รวบรวมข้อมูลผู้บริโภคทั้งจากช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เผยว่าจากแนวโน้มการตลาดปี 2024 ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นทิศทางที่สำคัญที่ภาคธุรกิจ และนักการตลาดต้องพิจารณาในการพัฒนากลยุทธ์ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปี 2024 ช่วงไตรมาสสุดท้ายหรือไปจนถึงต้นปี 2025 มี 5 เทรนด์หลัก ได้แก่

1. Omni-Channel Integration (การผสานช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์)

ในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์การซื้อของที่ไร้รอยต่อระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ธุรกิจจึงต้องทำให้ทั้งสองช่องทางนี้เชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก ได้รับบริการที่ครบวงจร ไม่ว่าจะช้อปออนไลน์หรือมาที่ร้านจริงก็ตาม เช่น แบรนด์ Sephora ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน และสามารถไปรับสินค้าที่ร้านหรือให้จัดส่งได้ มีระบบการสะสมแต้มที่เชื่อมต่อระหว่างการซื้อออนไลน์และในร้านค้า หรือ แบรนด์ IKEA ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ แล้วใช้บริการ Click & Collect ที่สาขาใกล้บ้าน หรือเข้ามาดูสินค้าจริงในโชว์รูมก่อนแล้วค่อยสั่งออนไลน์ เป็นต้น

2. Gen Z Engagement (การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มคนรุ่น Gen Z)

Gen Z เป็นกลุ่มที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ทำให้การสื่อสารและแคมเปญการตลาดที่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์และการสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล (Personalization) จะได้ผลดี นอกจากนี้กลุ่ม Gen Z นี้ยังให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความจริงใจของแบรนด์เป็นสำคัญ ตัวอย่าง แบรนด์ Nike ใช้แคมเปญโซเชียลมีเดียที่เน้นการเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มเช่น Instagram และ TikTok พร้อมกับการใช้ผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ (Influencers) สร้างคอนเทนต์ที่เน้นความเป็นตัวเองและความโปร่งใส หรือแบรนด์ Netflix ปรับแคมเปญโฆษณาและโปรโมชันผ่านโซเชียลมีเดีย โดยใช้มุกตลก (memes) และคอนเทนต์แบบอินเตอร์แอคทีฟที่ตอบสนองได้ทันที เพื่อดึงดูด Gen Z เป็นต้น

3. Solo Economy (เศรษฐกิจสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว)

จำนวนครัวเรือนที่มีคนอยู่คนเดียวหรือการครองชีวิตโสดเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานคนเดียว หรือบริการที่เน้นความสะดวกและการดูแลแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งธุรกิจควรจะตอบโจทย์ตลาดนี้เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ตัวอย่างแบรนด์ Airbnb ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Solo โดยจัดแพ็กเกจสำหรับคนเดินทางคนเดียว และเสนอสถานที่พักที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับนักเดินทางเดี่ยว เป็นต้น

4. Pet Parents (เจ้าของสัตว์เลี้ยง)

เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงเติบโตตามไปด้วย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารสัตว์ ของใช้ บริการดูแลสัตว์ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตัวอย่างแบรนด์ Petco ร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่มีการเพิ่มบริการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง บริการกรูมมิ่ง รวมถึงคลินิกสัตวแพทย์ เพื่อให้บริการครบวงจร หรือแบรนด์ BarkBox บริการสมัครสมาชิกส่งของเล่นและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงรายเดือน ตอบโจทย์การดูแลสัตว์เลี้ยงที่ต้องการความสนใจเป็นพิเศษ เป็นต้น

5. Health & Wellness (สุขภาพและการดูแลตนเอง)

ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านสุขภาพกายและใจ โดยเฉพาะในเรื่องการป้องกันโรคและการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน ธุรกิจที่ตอบสนองต่อแนวโน้มนี้จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างแบรนด์ Lululemon แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับการออกกำลังกายที่ขยายตัวเข้าสู่การจัดกิจกรรมโยคะและการส่งเสริมการมีสุขภาพจิตที่ดี รวมถึงการพัฒนาแอปเพื่อให้คำแนะนำด้านการออกกำลังกายและสุขภาพ เป็นต้น

ปรับตัวให้ทัน ตามพฤติกรรมผู้บริโภค

วรลักษณ์แนะนำว่า ธุรกิจที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูง จำเป็นต้องเข้าใจและปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของผู้บริโภค จากข้อมูลของ The Mall Group มีการระบุแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สำคัญในปี 2024 ที่จะมีผลกระทบต่อการตลาด ได้แก่

  1. Digital Adaptation แอปพลิเคชันต้องเสถียรและพร้อมใช้งาน ผู้บริโภคยุคใหม่คาดหวังว่าทุกอย่างจะทำได้ผ่านช่องทางดิจิทัล หากแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น ผู้บริโภคจะมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีและอาจเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่งทันที ความเสถียรของแอปจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในการสร้างความประทับใจแรกให้กับลูกค้า
  2. Conscious Consumption ผู้บริโภคมีการตัดสินใจซื้ออย่างระมัดระวัง ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลและรีวิวสินค้าจากหลากหลายแหล่งได้ง่าย พวกเขาจึงพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคมักฟังคำแนะนำจากอินฟลูเอนเซอร์ที่ตนเองเชื่อถือ แต่หากสินค้าหรือบริการไม่คุ้มค่าหรือไม่มีความพิเศษมากพอ ผู้บริโภคก็พร้อมที่จะรอหรือตัดสินใจไม่ซื้อ ดังนั้นการสร้างมูลค่า (Value) ที่ชัดเจนและแตกต่างจึงมีความสำคัญ
  3. Experience Over Product ประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคไม่ได้มองหาสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการประสบการณ์ที่ดีจากการซื้อสินค้านั้นๆ เช่น กรณีของ “น้องเนย” ที่ไม่เพียงแต่ขายผลิตภัณฑ์ แต่ยังขายประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับแฟนคลับและผู้ติดตามของเธอ ทำให้สินค้ามีความหมายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ชัดเจน การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและฟังเสียงของแฟนคลับจึงเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
  4. Health-Driven Choices การเลือกสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือสินค้าที่ส่งเสริมสุขภาพ โดยยินดีที่จะจ่ายในราคาที่แพงขึ้นเพื่อรับประสบการณ์ที่ดีต่อสุขภาพ
  5. Value-Oriented Behavior การให้คุณค่ากับความยั่งยืน ลูกค้าให้ความสำคัญกับการใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลก การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าหลายกลุ่ม แบรนด์ที่สามารถแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้ จะได้รับความสนใจและสนับสนุนจากผู้บริโภคมากขึ้น
  6. Omni-Channel Flexibility การเชื่อมโยงทุกช่องทางการขาย ผู้บริโภคคาดหวังว่าทุกช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ จะมีความเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ ทั้งในเรื่องของราคา ประสบการณ์ และมาตรฐานของบริการ ทุกช่องทางต้องมีความเสมอภาคกันทั้งในด้านราคาและคุณภาพ

ยก ‘Butterbear’ ตัวอย่างการสร้างคุณค่าและความผูกพันที่เหนือกว่าการขายตรง

ปรากฏการณ์ทางการตลาดในปี 2024 ที่เน้นไปที่การ “ให้” และการสร้าง “คุณค่าทางใจ” ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าหรือแบรนด์ที่มีความหมายต่อจิตใจ ไม่เพียงแต่ในเรื่องของการซื้อขายสินค้า แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์เชิงอารมณ์สูง ตัวอย่างเช่น กรณีของ “น้องเนย” ที่ไม่เพียงแต่จำหน่ายสินค้า แต่ยังสร้างสรรค์กิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม โดยสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ติดตามในเชิงอารมณ์ สิ่งนี้เรียกว่า “Heart Melt” หรือการเข้าถึงใจผู้บริโภค ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าการขายตรงแบบ “Hard Sell” หรือภาพยนตร์หลานม่า Grandma (How to Make Millions before Grandma Dies) เน้นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว โดยเฉพาะความผูกพันระหว่างหลานกับย่า เป็นต้น

ศิริพร กิตติชัชวาล General Manager – Country Head (Thailand) YouGov (Thailand) Co., Ltd. เคราะห์กรณีศึกษาของ “น้องเนย” ที่ใช้การสร้าง “Unique Giving Point” ซึ่งเป็นการมอบคุณค่าที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราว (Storytelling) หรือการสร้างสรรค์ภาพและคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงกับการเยียวยาใจผู้คน คอนเทนต์ประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

วิเคราะห์แบรนด์ Butterbear ตกคนเข้าด้วยกลยุทธ์ “Heart Melt Marketing”

ส่วนของ Idea หรือแนวคิด

  1. Storytelling แบรนด์ใช้การเล่าเรื่องราวที่สามารถเชื่อมโยงกับอารมณ์ของผู้บริโภคในระดับส่วนตัว ปล่อยความน่ารักน่าเอ็นดู การเล่าเรื่องที่น่าประทับใจช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและใกล้ชิดกับลูกค้า
  2. Visuals ใช้ภาพและวิดีโอที่กระตุ้นอารมณ์เชิงบวก ความรู้สึกอบอุ่นใจ และสร้างความประทับใจ
  3. Cause Marketing การเชื่อมโยงแบรนด์กับกิจกรรมเพื่อสังคม หรือการช่วยเหลือประเด็นที่ผู้บริโภคเป้าหมายให้ความสำคัญ ทำให้แบรนด์ดูมีจิตสำนึกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การมีส่วนร่วมในโครงการบริจาคเงินให้ผู้คนยากไร้ หรือการเยี่ยมเด็กๆ ที่ป่วยในโรงพยาบาล เป็นต้น
  4. User-Generated Content (UGC) ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการสร้างและแบ่งปันคอนเทนต์เกี่ยวกับแบรนด์ เช่น การแชร์เรื่องราวส่วนตัวที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์

ส่วนของ Execution หรือการนำไปปฏิบัติใช้

  1. Unique Characteristics ตัวละคร Butterbear มีลักษณะที่น่ารัก ขี้เล่น และมีความสุภาพพร้อมกับความรู้สึกของการ “ให้” ที่เน้นสร้างความสุขแก่ผู้บริโภค
  2. Clear Target Audience กำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เช่น Gen X, Gen Y และ Gen Z โดยเฉพาะการขยายฐานผู้ติดตามในกลุ่ม Gen Z ผ่านการร่วมงานกับศิลปินหรือคนดังที่เป็นที่ชื่นชอบ เช่น Jackson Wang, BamBam, PP & Billkin เป็นต้น
  3. Deep Understanding of Target’s Emotions มีความเข้าใจในอารมณ์และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยรู้ว่าผู้บริโภคมักมองหาช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิต และมองเห็นคุณค่าของการ “ให้”
  4. Hyper-Personalized Approach การปรับแต่งกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับความชอบและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในแต่ละกลุ่มแฟนด้อม (Fandom) ที่มีความเฉพาะเจาะจง เทคนิคคือการจดจำแฟนคลับได้และให้ความสนใจตอบกลับไป
  5. Closely Monitor Feedback from Fandom  ติดตามความคิดเห็นและคำแนะนำจากแฟนคลับอย่างใกล้ชิด และตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เช่น การจัดการคิวในงานอีเวนต์หรือตำแหน่งในร้านค้าที่แฟนคลับใช้

แนะแบรนด์ไทยสร้างความแตกต่าง เรียนรู้การทำตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีน

การเข้ามาของตลาดจีน ถือเป็นความท้าทายที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพสินค้า การแข่งขันด้านราคา และการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ แม้จะมีความท้าทายหลายประการ แต่หากมองในเชิงกลยุทธ์ การสร้างความร่วมมือ (Collaboration) กับตลาดจีนอาจสามารถนำมาซึ่งโอกาสและคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจไทยได้

วรลักษณ์ แนะนำการปรับตัวตั้งรับกับสถานการณ์นี้ไว้ เป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับแบรนด์ไทยต้องพิจารณาเมื่อแข่งขันกับสินค้าจากจีน ดังนี้

  1. Price Sensitivity หรือความอ่อนไหวด้านราคา สินค้าจากจีนมักมีราคาถูกกว่าสินค้าไทย 10-20% ทำให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดไทย แบรนด์ไทยต้องเน้นการสร้างมูลค่าและความคุ้มค่าให้กับสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้ได้ เช่น การเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ่านการสร้างความแตกต่างและสร้างเรื่องราว (storytelling) ที่เชื่อมโยงกับลูกค้า เป็นต้น
  2. E-Commerce Growth หรือการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee, Lazada และ Temu มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตถึง 20% แบรนด์ไทยจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มแข็งในด้านการตลาดออนไลน์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แม้กระทั่งการสร้างความร่วมมือในด้านการขายออนไลน์หรือการเปิดโอกาสในการทำอีคอมเมิร์ซร่วมกับแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้
  3. Consumer Behavior หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบลองอะไรใหม่ ๆ ประมาณ 30% ของผู้บริโภคไทยเปิดรับสินค้านานาชาติ และคาดหวังราคาที่แข่งขันได้และความหลากหลายของสินค้า แบรนด์ไทยต้องตอบสนองความต้องการเหล่านี้เพื่อรักษาฐานลูกค้า
  4. Quality Perception หรือด้านคุณภาพแบรนด์จีนดีขึ้น เช่น Huawei และ Xiaomi ได้ปรับปรุงคุณภาพสินค้า ทำให้ผู้บริโภคมองเห็นว่าสินค้าจีนมีคุณภาพดีขึ้น แบรนด์ไทยจึงต้องสร้างความแตกต่างโดยการเน้นที่คุณภาพ การบริการ งานฝีมือ และความยั่งยืนเพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ
  5. Product Differentiation หรือการสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์ แบรนด์ไทยควรเน้นการใช้จุดแข็งจากมรดกทางวัฒนธรรม ความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น หรือคุณภาพพรีเมียมเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด เพราะผู้บริโภคกว่า 40% ยินดีจ่ายเพิ่มหากสินค้าให้คุณค่าและถูกวางตำแหน่งได้ดี
  6. Aggressive Marketing หรือใช้การตลาดเชิงรุก แบรนด์จีนลงทุนอย่างหนักในด้านการตลาดดิจิทัลและการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้การมองเห็นของแบรนด์สูงขึ้น แบรนด์ไทยจึงต้องเพิ่มความพยายามในการตลาดและโปรโมชัน เพื่อแข่งขันกับแบรนด์จีนหรือไม่ก็เพิ่มความครีเอทีฟเพื่อผลักดันให้คอนเทนต์ของแบรนด์มีความโดดเด่นกว่าแบรนด์จีน

8 สิ่งที่ต้องโฟกัส ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ถึงปี 2025

ด้าน ศิริพร เสริมว่า ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด การสร้างสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในลักษณะ “Value for Money” หรือความคุ้มค่ากับราคา คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและอยู่รอดในตลาดได้อย่างยั่งยืน

ปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในตลาดไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ถึงปี 2025 เป็นแนวโน้มและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญในอนาคต ได้แก่

  1. Consumer Trust & Loyalty (ความเชื่อมั่นและความภักดีของผู้บริโภค) การสร้างประสบการณ์ที่เป็นของแท้และปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืนกับลูกค้า เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างความไว้วางใจและความภักดีจากผู้บริโภคมากขึ้น
  2. AI Power Marketing (การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI) ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับแต่งประสบการณ์ และใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  3. Sustainability & Ethical Marketing (การตลาดเพื่อความยั่งยืนและจริยธรรม) ความต้องการสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังเพิ่มขึ้น การสื่อสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น การเข้าร่วมงาน World Expo 2025 หรือการปฏิบัติตามเป้าหมายของการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติครั้งที่ 30 (COP30)
  4. Rise of Subscription Model (การเพิ่มขึ้นของรูปแบบการสมัครสมาชิก) บริการแบบ Subscription กำลังเติบโต โดยนำเสนอความสะดวกสบายและคุณค่าให้กับลูกค้า พร้อมสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องและเสริมสร้างความภักดีจากลูกค้า
  5. Influencer Marketing Evolution (วิวัฒนาการของการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์) การเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้ Micro-Influencers ที่มีความเฉพาะเจาะจงและมีการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งกับกลุ่มผู้ติดตามของตนเอง สิ่งนี้นำไปสู่ผลตอบแทนที่สูงขึ้นและความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้บริโภค
  6. Economic Sensitivity (ความไวต่อภาวะเศรษฐกิจ) การตอบสนองต่อความอ่อนไหวของผู้บริโภคต่อราคาโดยใช้โปรโมชั่นที่มอบคุณค่าและโปรแกรมสร้างความภักดีจะช่วยรักษาฐานลูกค้าในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
  7. Luxury Growth (การเติบโตของสินค้าพรีเมียม) เน้นการมอบประสบการณ์พรีเมียมและบริการที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้าระดับสูงที่มองหาความพิเศษและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ธุรกิจต้องสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง
  8. Collaborative Ecosystems (ระบบนิเวศการร่วมมือกัน) การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายการเข้าถึงตลาดและสอดคล้องกับแนวโน้มสำคัญในตลาด เช่น นวัตกรรม ความยั่งยืน และการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า

สุดท้ายนี้ วรลักษณ์ ฝากไว้ว่า “การตลาดที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ เชื่อมโยงกับผู้คน และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน” และคุณศิริพร ที่เน้นย้ำว่า การให้คุณค่าแก่ลูกค้า มากกว่าการเน้นเพียงการขายสินค้า การให้บางสิ่งที่มากกว่าผลิตภัณฑ์ เช่น การดูแล ความใส่ใจ หรือการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับมากกว่าที่จ่ายไป (Go towards Unique “Giving” point, beyond Unique “Selling” point) และลองการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงใจของผู้บริโภค (Heart-Melt) คือการสร้างความรู้สึกที่อบอุ่นและเชื่อมโยงกับลูกค้าในระดับอารมณ์ ซึ่งจะช่วยสร้างความภักดีในระยะยาว เป็นกำลังใจนักการตลาดทุกคนที่ค้นหาคุณค่าของแบรนด์ที่สามารถ “ให้” กับลูกค้า เพื่อที่จะสามารถครองใจและเอาชนะใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อาร์เอส ปิดดีล รับทรัพย์ 605 ล้านบาท จากยูนิเวอร์แซล มิวสิค ขยายธุรกิจเพลงและธุรกิจใหม่ในอนาคต

ภาคเอกชนไทยหนุนความร่วมมือ ACMECS ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตอย่างยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน